หมอ รักษาตัวเอง

คนที่เรียนจบเป็นหมอ เขารู้เหตุของโรคว่าเกิดอย่างไร รู้การดำเนินไปของโรคว่าเป็นอย่างไร และรู้การรักษาโรคว่าจะรักษาให้หายได้อย่างไร ถึงแม้หมอจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโรค ใช่ว่าหมอจะไม่มีโอกาสเป็นโรค หมอก็ติดโรคได้ เป็นโรคได้ ประเด็นอยู่ที่เมื่อเขาเป็นโรคแล้ว เขาเป็นผู้ที่รู้ในอาการของตนดีที่สุด และเขาก็คือบุคคลที่ดีที่สุดที่จะรักษาตัวเอง

การที่พวกเราเดินจงกรม นั่งสมาธิ ฝึกควบคุมใจตน เป็นผู้ปฏิบัติตน ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะไม่จิตตก ไม่ทุกข์ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เราผู้ปฏิขัติตนก็สามารถจิตตกได้เช่นกันหากมีปัญหามากระทบมากๆแรงๆ เพราะเรายังไม่สามารถปฏิบัติตนถึงพระนิพพานได้ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า สำหรับผู้ปฏิบัติ เมื่อเราจิตตกก็คงไม่มีใครรู้ระดับจิตของเราได้ดีไปกว่าตัวเราเอง และเราก็ควรต้องรู้วิธีรักษาตัวเอง

ปัญหามีอยู่ว่า บางครั้งเราจิตตกแล้วไม่ยอมรักษา ก็คงไม่ต่างกับหมอที่ป่วยเป็นโรคแล้วไม่ยอมกินยา โรคนั้นก็มีโอกาสทำร้ายเรามากกว่าเดิม

แน่นอนครับ การกินยาครั้งแรก 2-3 ครั้งแรก ไม่ได้ทำให้โรคหายไปทันทีฉันใด การที่เรามาปฏิบัติขณะจิตตก ก็ไม่ได้สามารถยกระดับจิตใจของเราขึ้นมาได้ทันที แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการรักษาไม่ได้ผล ช่วงแรกเชื้อโรคมันอาจจะมีจำนวนมากมายกว่าจำนวนยาที่เข้าไปปราบมันมาก มันก็ดูเหมือนยังไม่ดีขึ้น เมื่อเราอดทนปฏิบัติตนอย่างต่อเนื่องต่อไป ไม่ยอมแพ้ ไม่ช้าก็เร็ว เราก็จะค่อยๆดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจนระดับจิตกลับมาเหมือนเดิม

อย่าลืมที่จะรักษาตัวเอง เมื่อเราไม่สบาย
อย่าลืมที่จะเดินจงกรม นั่งสมาธิ เมื่อเราจิตตก

จากประสบการณ์ของตัวเอง หากจิตตกมากๆ บางครั้งเราไม่สามารถนั่งสมาธิได้เพราะฟุ้งมาก ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ ก็ให้แก้ด้วยการเดินจงกรม และสวดมนต์แทน แรกๆเดินไปก็ฟุ้งไป เดินไปก็ฟุ้งไป ไม่เป็นไรครับ คิดเสียว่าช่วงแรกนี้เชื้อโรคมันยังมีจำนวนมากกว่ายาที่กินเข้าไป อดทนทำไปสักระยะ จะค่อยๆดีขึ้น

ที่สำคัญเมื่อเรารักษาตัวเราหายได้แล้ว เราอาจจะดีกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ จิตเราจะกลับแข็งแกร่งขึ้น ยกระดับได้มากขึ้นกว่าเดิม ก็คงเปรียบเหมือนกับเวลาเราเป็นหวัดแล้วรักษาหาย ร่างกายเราก็มีโอกาสที่จะมีภูมิคุ้มกันเชื้อหวัดชนิดนั้นไม่ให้กลับมาเป็นอีก

By.. หยดน้ำ

No Comments

No comments yet.

RSS feed for comments on this post. TrackBack URI

Leave a comment

*

WordPress Themes