Category: ความรู้-ประสบการณ์

เอาคืน

เคยไหมครับที่รู้สึกว่าเราโดนกลั่นแกล้ง โดนเอาเปรียบ ได้รับความอยุติธรรม แล้วอยากเอาคืน

เรื่องแรก – ทิ้งเศษวัสดุก่อสร้างไว้ที่บ้านของเรา
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคนที่ผมรู้จักคนหนึ่ง หลังจากที่อยู่บ้านทาวน์เฮ้าท์สองชั้นอย่างสงบสุขมาเป็นเวลา 1 ปี ก็มีคนมาปลูกบ้านใหม่บริเวณที่ดินหลังบ้าน อาจจะเนื่องจากที่ดินมีราคาแพง เขาจึงพยายามสร้างบ้านให้เต็มพื้นที่ และสุดท้ายก็ต่อเติมกันสาดมาจนชนกำแพงหลังบ้านเพื่อนเรา หลังจากที่เขาสร้างบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ทิ้งเศษวัสดุมากมายไว้บนกำแพงบ้าน เวลาฝนตก น้ำฝนก็ชะล้างเอาเศษดินเศษวัสดุตกลงมาที่บ้านของเรา ไม่ไปตกลงบ้านเขาเพราะเขาปิดไว้เรียบร้อย ไปแจ้งให้เขาเรียกช่างมาเก็บเขาก็เฉย อย่างนี้จะทำอย่างไรดี

… ใจที่อยากเอาคืน อย่างน้อยก็เพื่อให้เขารู้ถึงความทุกข์ที่เราได้รับก็คิดว่า อย่างนี้ เราก็เอาเศษวัสดุทิ้งกลับไปที่บ้านของเขาดีไหม เขาจะได้รู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร

… แต่ถ้าเราคิดกลับกัน นี่มันก็เรื่องเล็กๆ แค่เราเก็บเศษวัสดุเสียเอง ก็เสียเวลาไม่มาก แค่นั้นก็หมดปัญหาแล้ว ถึงแม้จะเสียความรู้สึก (ซึ่งจริงๆแล้วเราไม่ได้เสียอะไร ความรู้สึกที่เราเสีย เราเสียเอง ไม่มีใครมารับไป)

เรื่องที่ 2 – โดนโกงค่าน้ำ
มีเพื่อนคนหนึ่งเช่าห้องที่หอพัก ก่อนเช่าก็ได้ถามว่าค่าเช่าเท่าไหร่ ค่าไฟค่าน้ำเท่าไหร่ ก็ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย สมมุติว่าค่าน้ำหน่วย 15 บาท สิ้นเดือนใช้น้ำไปเพียง 2 หน่วย ทางหอพักเขาเรียกเก็บเงินมา 100 บาท เพื่อนก็งง แต่พอถามก็ได้ความว่าต้องจ่ายค่าน้ำขั้นต่ำ 100 บาท อาว!! แล้วทำไมเขาไม่บอกแต่แรก

… เป็นท่านท่านจะทำอย่างไร อุตส่าห์ประหยัดน้ำเพราะคิดว่าจะได้ประหยัดค่าใช้จ่าย แต่กลับโดยเรียกเก็บในสิ่งที่ตนไม่ได้ใช้ เพื่อนผมก็ว่า “รู้อย่างนี้เปิดน้ำทิ้งเสียดีกว่า” นี่คือความรู้สึกที่อยากเอาคืน เอาคืนในความอยุติธรรมที่ได้รับ

…ใช่ครับ การเปิดน้ำทิ้งอาจจะได้ความรู้สึกสะใจ ได้ความรู้สึกว่าเราได้ทวงความยุติธรรมคืน เราได้จริงหรือ จริงๆเราได้อะไรเราเสียอะไร สิ่งที่เราได้นั้นไม่มี แต่ที่เราเสียคือ เราเสียความเป็นคนดีในตัวเราไป เราเสียทรัพยากรของชาติ เรามีแต่เสียไม่มีได้

หลายๆครั้งในช่วงชีวิตของเรา ถ้าเราเจอคนไม่ดี ไม่ใช่ว่าเราต้องไปเอาคืนให้สาสมกับที่เขาทำกับเรา ถ้าทำอย่างนั้นคนไม่ดีก็อาจเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนคือตัวเราเอง ถ้าเราเจอคนบ้าหนึ่งคน เขามาด่าเราเสียๆหายๆ (โดยที่เราไม่รู้ว่าเขาบ้า) ถ้าเราไปว่าเขาตอบไปด่าเขาคืน วันนั้นก็อาจมีคนบ้าเพิ่มมาอีกหนึ่งคน

หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้เราเจ็บใจ เสียใจ แต่ลองถามตัวเอง “แล้วจริงๆเราเสียอะไร เสียจริงไหม” บางครั้งเรื่องเล็ก แต่จิตเราปรุงแต่งแล้วขยายความให้เป็นเรื่องใหญ่ แล้วคนที่เจ็บ คนที่ทุกข์ก็คือตัวเราเอง นี่ก็เพราะพลังจิตหรือพลังของใจเรามีไม่พอที่จะหยุดความคิดที่เป็นทุกข์ได้

การที่เราจะตัดสินใจทำอะไรลงไป ลองหยุดคิดดูสักนิดดีไหมครับ ไม่ใช่ว่าเราจะปล่อยวางไม่ทำอะไรไปเสียทุกอย่าง แต่ว่าเราควรแก้ปัญหาด้วยปัญญา ไม่ใช่แก้ปัญหาด้วยการสร้างปัญหาใหม่

ทำบัญชี เรื่องเล็กๆที่ไม่เล็ก

คุณรู้ไหมว่าทำบัญชีแล้วดียังไง ?  .. หลายๆคนคงรู้ว่าดี ทำให้เรารู้สถานะ (ทางการเงิน) ของตัวเอง ทำให้เรามีระเบียยวินัยในการใช้จ่าย มีวินัยทางการเงิน วางแผนอนาคตได้ อื่นๆอีกมากมาย..

คุณเคยทำบัญชีไหม หรือ คุณทำบัญชีรายรับรายจ่ายประจำวันหรือไม่ ? .. ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ไม่ทำ (อ้นนี้จากความรู้สึกตัวเอง และการสอบถามคนรอบตัว) และหรือไม่ก็ทำๆหยุดๆอย่างผมเป็นต้น

ที่ยกประเด็นนี้ขึ้นมาเพราะผมได้ทดลองให้ลูกทำบัญชี และลูกได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเกินคาด ปัญหาส่วนหนึ่้งของคนไทยในปัจจุบันคือ เราใช้เงินไม่เป็น เราเรียน 10 กว่าปีในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย เพื่อให้รู้ว่าจะหาเงินอย่างไร แต่แทบไม่เคยได้เรียนว่าเมื่อได้เงินมาแล้วเราจะใช้เงินอย่างไร หรือจะบริหารเงินที่มีอยู่ในกระเป๋าอย่างไร และที่สำคัญ (ตามความคิดของผม) การบริหารเงินไม่ใช่แค่การเรียนรู้หรือวิชาการ แต่เป็นสิ่งที่ต้องฝึกให้เป็นนิสัยตั้งแต่เด็ก

พอลูกของผมอายุประมาณ 7 ขวบ เรียนชั้น ป.1 เริ่มบวกเลขได้ ผมก็ให้เขาเริ่มทำบัญชีรายรับรายจ่ายของตัวเอง บัญชีง่ายๆ เช่น ได้เงินค่าขนม 20 บาท ใช้ไป 10 บาท เหลือ 10 บาท เก็บไว้สะสม วันต่อไปก็ทำเหมือนเดิม และก็เหลือสรุปยอดสะสมเป็นเดือนๆเพื่อไม่ให้ตัวเลขมากเกินไป

ที่ให้ลูกทำคิดง่ายๆแค่เพียงว่า อย่างน้อย เขาก็ได้ทำโจทย์คณิตศาสตร์บริหารสมองเล่นๆวันละ 1 ข้อ และเพื่อฝึกนิสัยการสะสมเงิน หลังจากที่ลูกทำบัญชีไปประมาณ 4-5 เดือน สิ่งที่เราให้ลูกฝึกได้ผลเกินคาด ผมก็เริ่มเห็นพัฒนาการของเขา คือ เขาเริ่มมีการคาดการณ์แล้วว่า เดือนนี้จะเก็บได้เท่าไหร่ เยอะหรือน้อยกว่าเดือนที่แล้ว ไม่ใช่แค่นั้น เขายังรู้จักเปรียบเทียบสถานะการเงินของตัวเองในปัจจุบันกับในอดีต เช่น วันที่ 15 เดือนนี้ เก็บเงินได้ 225 บาท มากกว่าวันที่ 15 เดือนที่แล้ว เพราะฉะนั้นเดือนนี้เขามีโอกาสที่จะเก็บเงินได้มากขึ้น

ผมไม่รู้ว่าตัวเขาเองรู้หรือเปล่าว่าเขากำลังเริ่มวางแผนการใช้เงินของตัวเองเป็นแล้ว แต่ที่ผมรู้ก็คือ เขาใช้เงินอย่างระมัดระวังมากขึ้น ถ้าเราให้เงินลูกอย่างไม่มีขีดจำกัด ลูกก็จะใช้ตามความต้องการของตัวเอง ซึ่งความเป็นจริงไม่ใช่ ทุกคนมีขึดจำกัด หากเพียงแต่ว่าขีดจำกัดของแต่ละคนไม่เท่ากัน เราต้องให้เขารู้ถึงขีดจำกัดของเขาเอง

อย่าว่าแต่เด็กเลยครับ ถ้าเราทุกคนสามารถทำประมาณการทางการเงินของตัวเองออกมา เราก็จะวางแผนชีวิตของเราได้ดีขึ้น ชีวิตเราก็จะดีขึ้น จริงไหมครับ

ไปพร้อมกัน ชนะด้วยกัน

ธรรมชาติของการเคลื่อนที่ของฝูงสัตว์ รู้ไหมครับว่าสัตว์แต่ละฝูงจะเคลื่อนที่ได้เร็วแค่ไหน สัตว์ฝูงหนึ่งจะเคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด ก็เท่ากับความเร็วของสัตว์ตัวที่เคลื่อนที่ช้าที่สุด เช่น ฝูงควายป่าฝูงหนึ่ง จะเคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด ก็เท่ากับความเร็วที่ควายตัวที่เดินช้าที่สุดจะเดินได้ทัน เพราะมันต้องรอตัวท้ายสุดด้วย

แล้วคนล่ะ เป็นสัตว์เหมือนกัน อยู่ในกฏเดียวกันหรือเปล่า ผมคิดว่าไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ตั้งแต่เราตอนเด็กๆเรียนหนังสือ เด็กในห้องแต่ละห้องก็มักจะมีความรู้เฉลี่ยใกล้เคียงกัน ขึ้นอยู่กับความเร็วของการเรียนรู้ของเด็กกลุ่มที่เรียนรู้ได้ช้าในห้อง เพราะฉะนั้น เด็กเก่งๆที่ถูกคัดรวมกันอยู่ในห้องเก่ง ก็เรียนไปได้ไกลกว่าเด็กที่อยู่ในห้องไม่เก่ง

ที่ผมพยายามอธิบาย ไม่ใช่เพราะเพื่อให้พยายามเอาลูกของตัวเองไปไว้ในห้องเก่งๆ แต่อยากจะให้ลองคิดดู นี่คือการทำงานเป็นทีม ถ้าเด็กเก่งในห้องช่วยติวเด็กคนที่ไม่เก่ง ก็จะทำให้ความเร็วในการเรียนรู้ของเด็กกลุ่มที่ช้าเรียนรู้ได้เร็วขึ้น จะช่วยให้เด็กทั้งห้องเรียนรู้ได้เร็วขึ้น เพราะฉะนั้น บางครั้งเด็กกลุ่มที่เห็นแก่ตัว อยากเก่งคนเดียว ก็เป็นปัจจัยหนี่งที่ทำให้ตัวเองเก่งน้อยลง เพราะความเร็วของห้องทั้งห้องยังช้าอยู่ดี อย่าลืมนะครับ ความเร็วของฝูงทั้งฝูงย่อมมีนัยสำคัญมากกว่าความเร็วของสัตว์เพียวตัวเดียว

ถ้าเปิดภาพให้ใหญ่ขึ้น ทำไมโรงเรียนที่มีชื่อเสียงบางโรงเรียน เด็กจึงเก่งกว่าค่าเฉลี่ยของเด็กโดยทั่วไป ก็เพราะเป็นที่รวมของสัตว์ที่วิ่งเร็วกว่า เพราะฉะนั้น ถ้าเรามองในภาพใหญ่ หากเราจะเก่งด้วยการดึงฝูงของเราทั้งฝูงให้เดินได้เร็วไปด้วยกัน จะทำให้ทุกคนชนะไปด้วยกัน

การทำงานก็เช่นเดียวกัน บางครั้งเราชิงดีชิงเด่นกันเองในองค์กร เห็นแก่ตัวและแข่งกันเองแต่ในสนามเล็กๆจนทำให้เราแพ้สนามใหญ่ก็มี มองให้กว้างกว่า เพื่อชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่า สิ่งดีๆที่เราทำหลายอย่าง อาจไม่ส่งผลให้เห็นในวันสองวัน เพราะความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยเวลา แต่คนจะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้ ต้องมี Vision คือ ต้องมองเห็นความยิ่งใหญ่ในสิ่งที่ทำซึ่งบางครั้งสิ่งที่ทำก็เป็นเพียงแค่สิ่งธรรมดา

แล้วที่ 2 คืออะไร

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมพาลูก 2 คนนั่งรถยนต์ออกจากบ้าน ลูกนั่งอยู่ที่เบาะหลัง
ผมหันหลังไปบอกลูก “นั่งให้เรียบร้อยนะ ความปลอดภัยต้องมาอันดับ 1
ด้วยความเป็นเด็ก หรืออะไรก็แล้วแต่ ลูกคนเล็กถามกลับมาว่า “แล้วอันดับ 2 คืออะไรละ ปาป๊

ลองตอบคำถามดูซิครับ เป็นท่าน ท่านจะตอบว่าอย่างไร ???

ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกครับว่าผมตอบลูกว่าอะไร เพราะลูกจะถามต่อไปเรื่อยๆว่า แล้วอันดับ 3, 4, 5, … คืออะไร แต่ที่ผมอยากตั้งข้อสังเกตก็คือ เราตอบคำถามนี้ไม่ได้ใช่ไหมครับ หรือต้องคิดเยอะกว่าจะตอบได้ เพราะบ่อยครั้ง ที่ชีวิตเราไม่รู้ว่าอันดับ 2 คืออะไร จริงไหมครับ

บ่อยครั้งชีวิตเรามีแต่แผนหลัก มีแผนเดียว ไม่มีแผนสำรอง เช่น คนทำขายของ ก็ขายอย่างเดียว ขายอย่างเดิม ทุกวันๆ ไม่ได้มองดูรอบข้าง รู้ตัวอีกที ลูกค้าหายหมดแล้ว และไม่มีแผนสำรองว่าจะไปทำอะไร หรือคนที่เป็นลูกจ้าง ก็ทำงาน แล้วก็ใช้เงิน เดือนชนเดือน ด้วยคิดว่าเดือนหน้าก็ได้เงินมาอีก จนลืมคิดไปว่า ถ้าบริษัทปิดตัว หรือถ้ามีอันต้องตกงาน จะทำอะไร

อาจจะด้วยชีวิตที่เร่งรีบ มีอะไรให้ทำมากมาย ยุ่งจนไม่มีเวลาคิด หรือด้วยความประมาทกับชีวิตก็ตาม ทำให้เราลืมแผน 2 สำหรับชีวิต พอเกิดเหตุขึ้นมาก็รับไม่ทัน ทำให้ชีวิตเสียศูนย์ได้ หรือเกิดการสูญเสียจนยากที่จะเยียวยาได้ทัน

บทความนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าที่อยากจะเตือนท่าน ดังปัจจฉิมเทศนาของพระพุทธเจ้าว่า อย่าประมาท เพราะเวลาที่เราจะจมน้ำ ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาหัดว่ายน้ำ มันไม่ทันการณ์เสียแล้ว

ความสุข อยู่ที่รู้จักพอ

เมื่อได้อ่านหนังสือ ดูคลิปของ ท่าน ว. วชิรเมธี บ่อยครั้งที่ได้ธรรมะจับใจมาก ในความคิดของผม ท่านเป็นอัจฉริยะบุคคลท่านหนึ่ง ท่านสามารถอธิบายเรื่องยากๆให้เป็นเรื่องง่าย อธิบายสิ่งที่อธิบายยาก เป็นนามธรรม ให้เป็นรูปธรรม ทำให้เราๆท่านๆเข้าใจได้ง่ายขึ้น

เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา ก็ได้ดูคลิป “ใจที่รู้จักพอ เป็นใจที่มีความสุข” แล้วประทับใจมาก จึงอยากแบ่งปันให้เพื่อนๆรับรู้ด้วย ประเด็นที่ผมจับได้มี 2 ประเด็นหลัก

1. ความสุขไม่ได้ขึ้นกับขนาดทรัพย์สิน หรือวัตถุสิ่งของ เรามีความสุขได้ทุกวัน ถ้ามีเรามีความพอดี และพอใจในสิ่งที่ตนมี พอใจในสิ่งที่ตนเป็น

2. ที่สำคัญ อย่าเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่น

อันนี้ตรงใจผมมากทีเดียว ความพอดี เป็นของใครของมัน ความพอดีของเราก็ไม่เท่ากับคนอื่น เช่น เรามีรายได้ 10,000 บาท/เดือน เราทานข้าวจานละ 35-40 บาท ก็พอดีและมีความสุขได้แบบเรา เขามีรายได้ 50,000 บาท/เดือน เขาทานข้าวมื้อละ 100 บาท ก็พอดีและมีความสุขได้แบบเขา แต่ที่สำคัญทุกคนก็กินได้มากที่สุดแค่ 1 อิ่ม อิ่มของใครก็ของมัน ต้องหาสมดุลของตัวเอง

บางครั้งเราไม่มีความสุข เพียงเพราะเราไปเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่นแค่นั้นเอง ไปคิดว่าเขามีมากกว่า ดีกว่า เราต้องมีให้เหมือนเขา ก็ตัวเราเองนั่นแหละที่ทำให้ตัวเราไม่มีความสุข

Life is Simple

วันหนึ่งในขณะที่ผมยังอ่อนต่อโลกนัก ผมได้มีโอกาสคุยกับลูกค้าวัยเกือบ 90 ปี ในตอนนี้น ชายแก่ผู้ดีอังกฤษ ตัวเล็ก ผิวเหี่ยว แต่ยังแข็งแรงมาก เดินทางไปภูเก็ตเพียงคนเดียว และเช่ารถขับเองทุกปี ทุกครั้งที่ว่าง คุณลุงก็มักจะมานั่งสนทนากับคุณพ่อและผมที่สำนักงาน

วันหนึ่ง วันที่ชีวิตผมนั้นวุ่นวายเสียเหลือเกิน และยังมองไม่เห็นเลยว่าเมื่อไหร่ความวุ่นวายนั้นจะหมดไปจากชีวิต

ผมพูดกับคุณลุงว่า “Life is complicate. And will be more and more complicate…”
(“การดำเนินชีวิตช่างยาก และซับซ้อน และจะยิ่งซับซ้อมและวุ่นวายมากขึ้นในอนาคต”)

ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เพราะลองคิดดูซิครับ ตอนนี้เราต้องเรียนมากขึ้น ทำงานมากขึ้น ยากขึ้น หนักขึ้น ทุกวันๆ เพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเราดีเหมือนเดิม

คุณลุงท่านได้กรุณาสอนผม “Life is simple, but you make it complicate”
(“ชีวิตนั้นเรียบง่าย แต่เราเองต่างหากที่ทำให้มันยุ่งยาก”)

ผมได้ฟังแล้วก็รู้สึกขอบคุณท่านมาก ที่ท่านได้เตือนสติเรา และตอนนี้ผมก็คิดอย่างที่ท่านสอน.. ชีวิตนั้นเรียบง่าย แต่ไม่ง่าย (ในบางครั้ง)

ปัญหา ปัญหา ปัญหา มีแต่ปัญหา แล้วจะทำอย่างไร

ในรอบปีที่ผ่านมาผมประสบกับปัญหามากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เป็นรอบปีที่ผมคิดว่า ผมเจอสิ่งที่มากระทบใจมากที่สุดปีหนึ่งตั้งแต่เกิดมา แต่ผมก็รู้สึกดีใจ และภูมิใจในตัวเองที่สามารถผ่านสิ่งที่เลวร้ายมาได้ ถึงแม้ว่าจนกระทั่งปัจจุบัน ผมยังไม่สามารถแก้ปัญหาบางข้อได้ แต่อย่างน้อย ผมก็สามารถผ่านปัญหา และใช้ชีวิตตลอด 1 ปีที่ผ่านมาได้อย่างมีความสุข

ผมอยากแบ่งปันประสบการณ์ที่ผ่านมาให้กับเพื่อนๆ ผมไม่ได้หวังว่าทุกท่านจะได้อ่านมัน เพียงแค่คนสักคนที่มีปัญหา และวิธีหรือแนวคิดที่ผมใช้มีประโยชน์สำหรับเขา ผมก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วที่ผมเขียน

ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมผ่านปัญหามาได้ ก็เพราะผมได้มีเจอธรรมะ เรียกได้ว่ามาแบบถูกเวลาจริงๆ ผมจะค่อยๆอธิบายเป็นข้อๆให้เข้าใจง่ายนะครับ

* ทำงานกับใจ

“ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” เป็นคำพูดที่คงไม่มีใครปฏิเสธได้ เมื่อมีปัญหาเข้ามาในชีวิต อาจทำให้หลายคนเซไปเลย ถ้าเราไม่มีหลักคิด สำหรับผมเอง ผมต้องหาเป้าหมายก่อน ไม่ต้องคิดถึงร้อยพันปัญหาที่ทำให้เราล้ม แต่หาเหตุผมสักข้อว่าทำไมเราต้องลุก

การศึกษาธรรมะช่วยผมได้มากในข้อนี้ เพราะทำให้ผมนิ่งขึ้น รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่จะมากระทบใจเราได้ เมื่อเรารู้ว่ามันคือสิ่งที่มากระทบใจ และเราไม่รับมันไว้ มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ มนุษย์ธรรมดาอย่างเรา แม้ไม่สามารถลดสิ่งกระทบใจได้ทุกเรื่อง แค่ลดได้บ้าง ก็ยังดีกว่าลดไม่ได้เลย

* กัลยาณมิตร

กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ บางครั้งเวลาเราเจอปัญหาที่รุนแรง ที่เราไม่คาดถึง เกินกว่าที่ใจเราจะรับไหว (เหมือนปกติ เราสร้างบ้านริมหาด เราก็คิดเฉพาะป้องกันปัญหาคลื่นลม แต่วันดีคืนดี สึนามิด้นพัดมาโดนบ้านเราซะงั้น) กัลยาณมิตรจึงเป็นสิ่งสำคัญ กัลยาณมิตรเป็นได้ทั้งเพื่อน พ่อแม่ พี่น้อง คู่สมรส ลูกของเรา ทุกคนเป็นกัลยาณมิตรที่ดีได้ ถึงแม้ว่าเขาอาจช่วยอะไรเราไม่ได้เลยก็ตาม แต่สิ่งที่เขาให้ได้คือ กำลังใจ ซึ่งสำคัญยิ่งเหนืออื่นใด

ยกตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งผมเคยได้รับกำลังใจอย่างมหาศาลจากลูกชายวัย 6 ขวบ ลูกชายเพิ่งจะนับเลขเป็น และรู้จักเงินมาไม่นาน
อยู่ดีๆลูกก็ถามว่า “พ่อมีหนี้เท่าไหร่”
ผมก็บอกว่า “หลายล้านบาทเลยลูก”
ลูกคิดนิดหนึ่งแล้วก็บอกว่า “ผมมีเงินไม่ถึงล้าน มีแค่พันกว่าบาท ถ้าพ่อจะเอาไปใช้ก่อนก็ได้นะ”

แค่นี้เองกำลังใจของเราก็เอ่อท้นท่วมขึ้นมาถึงคอแล้ว และผมยังเจอคนอีกหลายคนที่ประสบปัญหาอย่างหนักในชีวิต แล้วต่อสู้ทนเหนื่อยมาได้เพราะกำลังใจจากลูก

แม้คนที่ตายไปแล้วก็ยังให้กำลังใจเราได้ ผมโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน จึงทำให้เราต้องอดทน คุณยายขายขนมเลี้ยงครอบครัว ได้กำไรเป็นเศษสตางค์ แต่สามารถกู้สถานการณ์ของครอบครัวเราให้ลืมตาอ้าปากได้ แม้ท่านจะตายไปแล้ว แต่ท่านก็ไม่เคยตายไปจากใจผม หลายครั้งที่ผมหมดกำลังใจ ผมก็ได้คุณยายนี่แหละครับ เป็นตัวอย่างในการสู้ชีวิต และเป็นกำลังใจเสมอมา

* ทัศนคติบวก หรือ คิดบวก

ทัศนคติบวก หรือ การคิดบวก อาจจะไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา แต่เป็นทิศทางในการแก้ปัญหา มันจะทำให้เราแก้ปัญหาถูกทางและมีความสุข ผมเคยช่วยพี่สาวท่านหนึ่งแก้ปัญหา และเขียนเรื่องนี้ไว้ที่ คิดบวก ชีวิตมีความสุข ผมคิดว่าคงเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับทุกท่าน จริงๆครับ บางครั้งแค่เปลี่ยนความคิดนิดเดียว เราก็มีความสุขแล้ว คือคิดให้เป็น คิดให้ถูกทาง

* มุมมองต่อปัญหา

น่าแปลกครับ บางครั้งแค่เราขยับไปยืนคนละมุม หรือต่างองศาเพียงเล็กน้อย เราก็แก้ปัญหาได้แล้ว

ผมมีตัวอย่างหนี่งอยากแบ่งปันกับทุกท่าน มีร้านขายจานดาวเทียมอยู่ร้านหนึ่ง พอติดตั้งจานดาวเทียวให้กับลูกค้าเรียบร้อยแล้ว มักจะมีปัญหาว่าภาพไม่ชัด พนักงานติดตั้งก็ไม่ค่อยอยากไปบริการลูกค้าหลายครั้ง ทำให้เจ้าของร้านหนักใจ เขาแค่เปลี่ยนมุมมองการคิดว่า ตอนนี้บริษัทของเราไม่ได้ “ขายจานดาวเทียม” แต่ขาย “ทีวีรับชัด” เมื่อมุมมองต่อปัญาเปลี่ยนไป วิธีแก้ปัญาหก็เปลี่ยนไป เมื่อก่อนขายจานดาวเทียม เมื่อติดตั้งเสร็จ ความรู้สึกของพนักงานคือ ได้ส่งมอบสินค้าแล้ว แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นขายทีวีรับชัด พนักงานก็ทำทุกวิถีทางให้ทีวีรับสัญญาณได้ชัด ลูกค้าก็พอใจ

* Divide & Conquer

อันนี้ขอใช้ภาษาอังกฤษนะครับ เพราะเป็นเทคนิคที่ผมได้มาตอนเรียนวิศวะ จุฬาฯ ในทางวิศวกรรม หลายครั้ง ปัญหามันใหญ่เกินกว่าจะคิดและแก้ไขได้ง่ายๆ เทคนิค Divide & Conquer คือ การที่เราแบ่งปัญหาใหญ่ๆ เป็นปัญหาย่อยๆเล็กๆ แล้วค่อยๆแก้ไขปัญหาย่อยๆเล็กๆทีละปัญหา เราก็จะสามารถแก้ปัญหาใหญ่ได้ในที่สุด

ยกตัวอย่างเช่น การที่ Mr. Steve Jobs คิดผลิต Ipod มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยในเวลานั้น (ไม่งั้นบริษัทอื่นก็คงคิดประดิษฐ์ออกมาแล้ว) สิ่งที่ทำให้มันเป็นไปไม่ได้คือ การย่อให้คอมพิวเตอร์เล็กลงนั้นเป็นสิ่งที่เป็นเรื่องยาก และยังติดปัญหาเรื่องการระบายความร้อนด้วย (ลองคิดดู เมื่อก่อน เครื่องคอมพิวเตอร์ใหญ่ๆ มีระบบระบายความร้อนดีๆ ยังต้องอยู่ในห้องแอร์เลย ไม่งั้นมันจะร้อนจนทำงานไม่ได้) วิศวกรของ Mr. Steve Jobs ก็บอกว่าไม่น่าจะทำได้

แต่ Mr. Steve Jobs กลับบอกว่าไม่ต้องสนใจเรื่องปัญหาความร้อน ให้คุณคิดแค่ทำอย่างไรจึงจะทำให้คอมพิวเตอร์เล็กลง (เหลือเท่า Ipod) ส่วนเรื่องความร้อนผมจะให้อีกทีมหนึ่งหาวิธีแก้ไขเอง พอเขาแบ่งปัญหาใหญ่เป็น 2 ปัญหาย่อย เขาก็แก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น

* ข้อจำกัด หรือ อุปสรรค

ต้องยอมรับจริงๆครับว่าบางปัญหาเราแก้ไม่ได้จริงๆ เพราะมันติดข้อจำกัดบางอย่างของตัวเราเอง ของสังคม ของเทคโนโลยี แต่เราต้องแยกให้ออกว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นข้อจำกัดจริงๆ หรือเป็นอุปสรรคกันแน่ ถ้าเป็นอุปสรรคที่มันแก้ยากจนเราคิดว่าเป็นข้อจำกัดแล้ว โดยมากเราจะคิดเองไม่ออก ถ้าเราไม่มายืนในจุดที่แตกต่าง หรือ มีคนนอกมาช่วยดูและแก้อุปสรรคนั้น เพราะฉะนั้นทางที่ง่ายคือ หยุดพัก แล้วค่อยๆพิจารณา หรือหาที่ปรึกษา

ส่วนข้อจำกัดที่เป็นข้อจำกัดจริงๆ ให้พึงระลึกว่า ข้อจำกัดในวันนี้ อาจมีอะไรที่มาแก้ไขได้ในวันข้างหน้า มันอาจไม่ใช่ข้อจำกัดตลอดไป เช่น ผมเคยดูหนัง Avatar และเคยได้ยินว่า ผู้สร้างเขาเขียนเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว แต่ด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยีในตอนนั้น จึงไม่สามารถทำให้สร้างสรรฝันของเขาให้เป็นจริงได้ ปัจจุบันเทคโนโลยีดีขึ้น เขาจึงสร้างฝันให้เป็นจริงได้

* อย่าตอกย้ำปัญหา

บางเครั้งปัญหา หรือความไม่เข้าใจกันนิดเดียวก็ทำให้ปัญหาเล็กๆเป็นปัญหาใหญ่ได้ เปรียบเหมือนเราเป็นแผลเพราะมีเข็มมาทิ่ม เราก็เป็นแผลเล็กน้อย แต่ถ้าเรายังเอาเข็มทิ่มตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก แผลนั้นไม่มีวันหายแน่ ซ้ำร้ายยังอาจทำให้เราแย่กว่าเดิม

บางครั้งเป็นเพียงเพราะทิฏฐิในใจของเรา ทำให้เราผูก ไม่ปล่อยวาง ก็ทำให้เราเจ็บ ปัญหาจึงยังคงอยู่ในใจเรา ข้อนี้ธรรมะก็ช่วยเราได้มาก คิดไว้ว่า ถ้าแก้ใครไม่ได้ ก็แก้ที่ตัวเองก่อน

จีวรติดขี้ เรื่องนี้บอกอะไร

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเช้า และผมก็โพสลงใน facebook มีเพื่อนมาตอบ จากเรื่องที่ไม่มีสาระอะไร แต่ก็สอนอะไรบางอย่างกับเราได้ จึงอยากนำมาแบ่งปันครับ

ผม “เมื่อเช้า ตื่นขึ้นมา เดินจงกรม นั่งสมาธิ แล้วก็ไปตักบาตร”
ผม “หลังจากตักบาตรเรียบร้อยแล้ว ก็สังเกตเห็นที่จีวรด้านหลังบริเวณแขนซ้ายของพระ มีขึ้นกติดอยู่”

เพื่อน1 “แล้วไงต่อ”

ผม “ตอนปั่นจักรยานกลับบ้าน ก็มีนกขี้ตกลงมาบนแขนซ้ายพอดีพอดี ขณะขี่จักรยาน”
ผม “เรื่องนี้บอกอะไรหรือเปล่านี่”

เพื่อน1 “นั่นอะดิ”

เพื่อน2 “เมื่อวานพาลูกไปให้ขนมปังปลาที่สวนหลวง นกขี้ใส่หัวลูก 2 แหมะ แล้วเรื่องนี้บอกอะไรอ่ะ :)”

ผม “เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จีวรเปื้อนขี้ก็ต้องไปซัก มือเปื้อนขี้ หัวเปื้อนขี้ ก็ต้องไปล้างออก ถ้าใจเราเปื้อน เราก็อย่าเก็บความเปื้อนไว้ ล้างออกซะ”

เพื่อน2 “ลึกซึ้งจริง ๆ”

เพื่อน3 “ลึกซึ้ง ๆ”

ยิ้มสู้ กับ ฝรั่งเศร้า

การที่เราอยู่ที่ภูเก็ต ต้องพบปะนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่บ่อยๆก็ต้องรู้จักขนบธรรมเนียมของเขาไว้บ้าง เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวครับที่บางครั้งการยิ้มเก่งแบบคนไทยเราก็สร้างปัญหาให้กับเราโดยที่เราไม่รู้ตัว เรื่องมีอยู่ว่าขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยกับฝรั่งนั้นแตกต่างกันคือ คนไทยเรายามเกิดเรื่องเศร้า เสียใจ หรือเหตุไม่พึงปรารถนาใดๆ เราก็มักจะถูกสอนว่าให้ยิ้มสู้เอาไว้ แต่ฝรั่งนั้นไม่ใช่ เวลาเศร้าเขาเศร้า มักจะไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเลย

เรื่องนี้เคยเกิดกับตัวผมเองที่ออฟฟิตของเราเพียวคาร์เร้นท์ (Pure Car Rent) เมื่อฝรั่งคนหนึ่งมาคืนรถที่เช่า และเล่าให้ฟังว่า เขาจอดรถผิดที่ และถูกเสียค่าปรับให้กับตำรวจ ผมก็บอกเขาไปว่าผมเสียใจด้วย “I’m sorry.” และยิ้มเล็กน้อยเพื่อเป็นกำลังใจ แต่เขาดันโกรธ และแสดงความไม่พอใจ และบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องสนุกนะ “This is not fun.” เล่นเอาผมหุบยิ้มแทบไม่ทันเลย ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วนะว่า ห้ามยิ้มเวลาฝรั่งเศร้า แต่เผลอยิ้มสู้แบบไทยๆ

จริงๆแล้วเรื่องห้ามยิ้มเวลาฝรั่งเศร้านั้น คุณพ่อของผมได้ตักเตือนและเล่าเหตุการณ์จริงที่เกิดที่ โรงแรม เพียวแมนชั่น (Pure Mansion Hotel) ของเราให้ฟังครั้งหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อหลายปีมากแล้ว (ปี พ.ศ. 252X) สมัยที่โรงแรมของเราเพิ่งจะได้มีโอกาสต้อนรับฝรั่งไม่นาน และตอนนั้นเราก็ยังไม่มีกล้องวีดีโอวงจรปิดรักษาความปลอดภัยเหมือนปัจจุบัน เกิดเหตุของหายในห้องพักของลูกค้าฝรั่ง ลูกค้าก็มาแจ้งผู้จัดการโรงแรม ตอนนั้นผู้จัดการก็ยังพูดภาษาอังกฤษได้ไม่มาก ก็เลยยิ้ม ฝรั่งก็เลยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลย หลังจากนั้นคุณพ่อของผมจึงได้อธิบายให้เขาฟัง และสืบหาความจริง ก็ปรากฎว่าฝรั้งด้วยกันนั่นแหละขโมยกันเอง

ก็เป็นเรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจนะครับว่า เมื่อฝรั่งเศร้า เราก็ต้องทำหน้าเศร้าด้วย ห้ามยิ้มเด็ดขาด ก็ขอฝากเรื่องนี้ไว้เผื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่นครับ

คิดบวก ชีวิตมีความสุข

ผมเชื่อว่าเพื่อนๆหลายคนคงเคยได้ยิน เคยเรียน เคยอบรมเรื่องการคิดบวก พวกเรารู้ว่าการคิดบวกเป็นเรื่องที่ดี และพยายามคิดบวก แต่ปัญหาคือ เราไม่สามารถคิดบวกทุกครั้งทุกเรื่องจริงไหมครับ โดยเฉพาะเวลาที่มีเหตุการณ์ร้ายๆเกิดกับตัวเอง ทำไมเหรอครับ

ถ้าถามผมว่า ทำไมเราไม่สามารถคิดบวกได้ทุกครั้ง ผมก็คิดว่า การคิดบวกเป็นสิ่งที่เราต้องฝึก การฝึกจะทำให้เราเก่งขึ้น และคิดบวกได้มากขึ้น  อีกอย่างเป็นเรื่องของอารมณ์ บาครั้งเวลาเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ จะทำให้เราเกิดอารมณ์ อาจจะเป็นอารมณ์เศร้า หรือโกรธ หรืออะไรก็ตาม เจ้าอารมณ์นี่แหละที่เป็นตัวกั้นขวางจิตใจเรา
ให้หม่นมัว และทำให้ไม่สามารถคิดบวกได้

ผมมีเพื่อนรุ่นพี่ท่านหนึ่งที่เป็นนักธุรกิจที่เก่งมาก เขามีร้านขายที่ระลึกอยู่หลายสาขา แต่ละสาขาก็ต้องจ้างพนักงานขายประจำร้าน มีอยู่สาขาหนนึ่ง ปกติก็จะมียอดขายประมาณ 90,000 บาท/เดือน แต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ได้พนักงานขายที่เก่งคนหนึ่ง ทำยอดขายได้ขั้นต่ำ 200,000 บาท/เดือน ทุกเดือนมาตลอด 2 ปี เป็นยอดขายที่มากกว่ายอดเฉลี่ยที่เคยได้มากว่า 2 เท่าตลอด 2 ปี แต่วันนี้พนักงานคนนั้นกำลังจะออกจากงาน พี่เขาจึงเป็นทุกข์ และมาปรึกษาผมจะทำอย่างไรดี

ถ้าเป็นท่าน!! ท่านจะทำอย่างไร คิดอย่างไร ??
ถ้าพนักงานคนนั้นจะออกจริงๆ ก็ต้องหาพนักงานใหม่นะซิ แต่ที่แน่ๆก็คือ พนักงานทั่งไปไม่สามารถจะทำยอดขายได้ 200,000 บาท/เดือน

เจอปัญหาอย่างนี้ น่าจะเป็นทุกข์หรือเปล่า
ดูเผินๆก็น่าจะเป็นทุกข์ แต่ผมกลับแนะนำพี่เขาไปว่า ไม่เห็นน่าจะทุกข์ตรงไหนเลย น่าจะมีความสุขเสียด้วยซ้ำ เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะเขาโชคดีนะซิครับ หลายๆท่านคงงงว่าพี่เขาโชคดีอย่างไร ผมได้แนะนำพี่เขาไปว่า “พี่โชคดีมาก เพราะเหมือนพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่งคนเก่งมาช่วยพี่ตั้ง 2 ปี ทำให้พี่มียอดขายมากกว่าปกติมากๆตั้ง 2 ปี อย่างนี้น่าดีใจหรือเสียใจครับ”

เราจะเสียใจ หรือเราจะดีใจ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ พนักงานคนเก่งก็ลาออกอยู่ดี แล้วเราจะเสียใจ หรือดีใจ เราเป็นคนเลือก แล้วเราจะเลือกด้านที่เป็นทุกข์ทำไม เราควรจะคิดบวก และมีความสุขกับชีวิตของเรา และให้กำลังใจตัวเอง คิดวางแผนที่จะสู้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง

การช่วยคนอื่นแก้ปัญหานั้นง่าย แต่หลายครั้งที่เหตุการณ์เกิดขึ้นกับตัวเราเอง เราก็แย่ เราจึงต้องฝึกอย่าสม่ำเสมอที่จะคิดบวก และรู้ใจตัวเอง

WordPress Themes