Category: ความรู้-ประสบการณ์

สังคมคนขี้อิจฉา

รู้สึกว่าผมจะตั้งชื่อบทความรุนแรง แต่อาจจะไม่เกินไปใช่ไหมครับที่จะใช้สะท้อนความเป็นจริง ความอิจฉาตาร้อนมีอยู่ในสังคมไทย และที่สำคัญมีอยู่รอบข้างเรา จนบางครั้งทำให้เราไม่สบายใจ และขัดขวางการเจิรญเติบโตขององค์กร และสังคม

ผมก็ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงมีความอิจฉาขึ้น ไม่อยากจะไปโทษละครน้ำเน่า แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่เราดูละครแล้วมีตัวอิจฉาไม่ได้ส่งผลอะไรเลยกับจิตใจของเรา บางครั้งการที่เราได้เห็นได้รับรู้เรื่องอะไรบ่อยๆ ถึงแม้เป็นเรื่องที่ผิด อาจจะทำให้กลายเป็นเรื่องธรรมดาในที่สุด (ไม่รู้สึกผิดอีกต่อไป) เช่น การคอร์รัปชั่น การกระทำที่ผิดอย่างมาก กลักกลายเป็นเรื่องปกติในสังคมไทยไปแล้ว มีการคอร์รัปชั่นกันทุกวงการ ตั้งแต่ระดับหัวหน้า จนถึงน้องใหม่เพิ่งเข้าทำงาน

ความอิจฉาริษยาฝังรากลึกในใจคนจนบางครั้งยากที่จะกำจัดให้ออกไป ถ้ายกตัวอย่างระดับประเทศ ก็เห็นได้ชัด อย่างเช่น นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลมีโครงการอะไรดีๆ บางครั้งก็ไม่ได้รับการสนับจากฝ่ายค้าน หรือ มีโครงการดีๆที่เสนอมาจากฝ่ายค้าน แต่ก็ไม่นำมาทำ ทั้งนี้เพราะกลัวฝ่ายตรงข้ามจะได้หน้า ได้คะแนนเสียงไป ทั้งๆที่ตอนรับสมัครเลือกตั้ง นักการเมืองทั้งหลายก็ต่างบอกว่า จะเข้ามาเพื่อบริหารประเทศให้เจริญเติบโต

ในสังคมเล็กๆอย่างที่ทำงาน ก็มีความอิจฉาริษยาเพื่อนร่วมงาน ไม่อยากให้คนอื่นได้ดีกว่า จึงทำให้โครงการต่างๆไม่ประสบความสำเร็จ หรือประสบความสำเร็จได้ไม่ดีเ่ท่าที่ควร

แม้แต่ในโรงเรียน ก็มีความอิจฉาริษยา เด็กเรียนเก่งบางคน เวลาเพื่อนถามก็ไม่อธิบายเพื่อน หรืออธิบายแต่พอผ่านไป เพราะไม่อยากให้เพื่อนได้คะแนนมากกว่า

แล้วสังคมเราจะดีได้อย่างไร

จากประสบการณ์ที่ผมได้พบเห็นมา ความอิจฉาไม่ได้ทำให้ตัวเราดีขึ้น รังแต่จะนำความขุ่นข้องหมองใจมาให้ตัวเราเอง คนอื่นพอรู้พอเห็นเขาก็จะไม่ไว้วางใจเราหากเราเป็นคนขี้อิจฉา

หากคิดในมุมกลับกัน การที่เพื่อนๆเรา ญาติพี่น้องของเรา หรือคนในสังคมของเราดีขึ้น รวยขึ้น ประสบความสำเร็จมากขึ้น ก็ไม่ได้ทำให้ตัวเราแย่ลงจริงไหมครับ กลับทำให้สังคมของเราเองดีขึ้น และจะส่งผลดีกับตัวเรามากขึ้นในอนาคตด้วย

ผมอยากลองยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม สมมุติว่า เรามีเงินอยู่ 10 ล้านบาท ถ้าเราอยู่ในสังคมที่มีแต่คนจน ไม่มีเงินจะใช้สอย กับ เรามีเงินอยู่ 10 ล้านบาท แต่เราไปอยู่ในสังคมที่มีแต่คนรวยมากกว่าเรา มีเิงินเป็นร้อยเป็นพันล้าน ท่านว่าแบบไหนดีกว่า ผมคิดว่าอย่างหลังน่าจะดีกว่าจริงไหมครับ แล้วเราต้องไปอิจฉาคนที่มีเงินเป็นร้อยเป็นพันล้านหรือเป่ล่า

จริงๆครับ การที่เพื่อนเรา หรือคนรอบข้างเราดีขึ้น ประสบความสำเร็จมากขึ้น มีแต่จะช่วยให้ตัวเราดีขึ้น ช่วยให้สังคมน่าอยู่ขึ้น ไม่ได้ทำให้ตัวเราแย่ลง เช่นตัวอย่างของเด็กนักเรียน ถ้าทุกคนช่วยกันเรืียน ไม่หวงความรู้กัน ก็มีแต่จะช่วยให้เพื่อนๆที่เรียนด้วยกันได้รับความรู้มากขึ้นทุกคน แต่ถ้าทุกคนต่างหวงความรู้ ก็รังแต่จะทำให้ตัวเองรู้เท่าเดิม

Singha BizCourse : ความสำเร็จของธุรกิจท่องเที่ยว จังหวัดภูเก็ต

เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ผมได้เข้าร่วมอบรมผู้ประกอบการในโครงการ Singha Biz Course Entrepreneur เป็นโครงการดีๆอีกโครงการหนึ่งที่ Singha Corporation ทำเพื่อสังคม จึงอยากมาแบ่งปันให้เพื่อนๆรับทราบ

โครงการนี้เป็นอีกโครงการหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ ระยะเวลาในการอบรมอาจจะไม่มาก แค่ประมาณ 6 วัน เนื้อหาอาจไม่สามารถครอบคลุมทุกเรื่องเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ แต่ผมคิดว่าผมได้รับเกร็ดความรู้หลายอย่างจากการที่เข้าอบรมครั้งนี้

หัวข้อการอบรมที่พวกเราได้เรียนรู้ เช่น
– การจัดการธุรกิจในครอบครัว
– การตลาดสำหรับการเป็นผู้ประกอบการ
– การบริหาร และสื่อสารตราสินค้า
– การบัญชี และการเงิน
– การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสำหรับธุรกิจขนาดย่อม
– จิตวิทยาธุรกิจ

นอกจากจะได้รับฟังการบรรยายจากวิทยากรเก่งๆหลายท่านแล้ว ยังได้เพื่อนใหม่มากมาย และ ยังมีการทำ Workshop เพื่อให้เกิดความเข้าใจในหัวข้ออบรมมากขึ้นอีกด้วย

การคิดในการพัฒนาแบบญี่ปุ่น

ไปเรียน NEC (New Entrepreneurs Creation) ครั้งนี้รู้สึกว่าได้ข้อคิดดีๆมามาก จึงอยากจะแชร์ให้เพื่อนๆรู้ด้วย ผศ.คำรณ พิทักษ์ ได้สอนพวกเราเกี่ยวกับการเป็นผู้ประกอบการ ต้องมีการพัฒนาอยู่เสมอ และยกตัวอย่างคนญี่ปุ่นอยู่บ่อยครั้ง แน่นอนครับ ก็ญี่ปุ่นเป็นชาติที่เป็นต้นแบบของการพัฒนาในหลายๆด้าน ทั้งเรื่องปรัชญาการคิด และเทคโนโลยี

อ.คำรณ พิทักษ์ บอกว่า แนวความคิดที่ทำให้ญี่ปุ่นพัฒนาธุรกิจ และผลิตภัณฑ์มีง่ายๆ 3 ข้อ คือ

1. สิ่งที่เราทำอยู่ในทุกวันนี้ดีพอแล้วหรือยัง
2. แล้วเราจะทำให้ดีกว่านี้ได้ไหม
3. จะทำอย่างไร

ทั้งสามข้อเป็นความคิดที่ง่ายๆ แต่ลึกซึ้งจริงๆครับ ถ้าเราทำทั้ง 3 ข้อเป็นประจำ เราจะพัฒนาอย่างต่อเนื่องจริงๆครับ

ปัจจัยแห่งความสำเร็จ (Key Success Factor)

หลังจากที่ได้เข้าอบรมในโครงการ NEC (New Entrepreneurs Creation) มา  ผมก็ได้คิดถึงปัจจัยแห่งความสำเร็จ (Key Success Factor) ของธุรกิจครอบครัวของเราที่ทำมากว่า 30 ปี คือ ธุรกิจรถเช่า โดยเราใช้แบรนด์หรือยี่ห้อของตัวเองว่า “เพียวคาร์เร้นท์ (Pure Car Rent)

ขอออกตัวก่อนครับว่า ความสำเร็จในที่นี้ ผมไม่ได้หมายความว่า เราเป็นธุรกิจรถเช่าเบอร์ 1 ของจังหวัดภูเก็ต หรือมีรถเช่ามากที่สุด เพราะเราคงมิบังอาจไปเทียบกับแบรด์ใหญ่ ทุนเยอะๆได้ แต่ผมคิดว่าที่ธุรกิจเราประสบความสำเร็จก็เนื่องจาก เรามีฐานลูกค้าที่มั่นคง และมีลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำเป็นจำนวนมาก ไม่ต่ำกว่า 60-70%

จริงๆแล้วผมเคยคิดหลายครั้งว่าอะไรคือปัจจัยแห่งความสำเร็จของธุรกิจของเรา เพราะสิ่งที่เราทำก็ธรรมดา ไม่ได้ผิดแปลกกว่าธุรกิจอื่น คือ การให้บริการที่ดี ซื่อสัตย์ และไว้ใจได้กับลูกค้า แต่ผมกลับพบว่า สิ่งที่ธรรมดานี่แหละคือสิ่งที่ไม่ธรรมดา และเป็นสิ่งที่บางคน บางบริษัททำไม่ได้ หรือทำได้ก็ไม่นาน

ทั้งๆที่ราคาของเราไม่ได้ถูกกว่าบริษัทรถเช่าเจ้าอื่น หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้ถูกที่สุดในตลาด แต่หลายครั้งลูกค้าก็ยังเลือกใช้บริการของเรา ทั้งๆที่รู้ว่ามีรถเหมือนกัน (ยี่ห้อ และรุ่นเดียวกัน) ในราคาที่ถูกกว่า เพราะปรัชญาในการทำธุรกิจของเรา ไม่ได้เน้นไปที่ของถูกที่สุด แต่เราพยายามให้ของดีกับลูกค้า ในราคาที่คุ้มค่า และไม่มีการหรอก หรือปิดบังลูกค้า

ผมคิดว่าการที่เราซื่อสัตย์และจริงใจนี่แหละทำให้เราได้ลูกค้ากลับมากใช้บริการซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อปลายปีที่ผ่านมา มีลูกค้าชาวอเมริกันซึ่งเคยใช้บริการของเราท่านหนึ่ง ได้ขอจองรถเช่าในช่วงปลายเดือนธันวาคม แต่เนื่องจากในช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมานี้ มีคนจองรถเช่าเยอะมาก ทำให้เราเหลือเฉพาะรถเก่า ผมก็ตอบลูกค้าท่านนั้นไปตามตรงว่า ตอนนี้เราเหลือเพียงรถเก่า ถัดจากนั้น 2-3 วัน ผมจึงรู้ว่าเขาได้ไปเช่ารถแบรด์ดังเจ้าหนึ่ง ผมคิดในใจว่า ผมคงเสียลูกค้าท่านนั้นไปแล้ว แต่เรื่องกลับไม่เป็นอย่างที่คิด ปลายเดือนมกราคม หลังจากลูกค้าท่านนั้นกลับไปอเมริกาแล้ว จึงได้อีเมล์มาของจองรถอีกครั้ง ครั้งนี้เขาจองรถล่วงหน้าไว้ถึง 12 เดือน คือสำหรับเดือนกรกฎาคม และเดือนธันวาคม เขาบอกว่าเขาประทับใจมาตรฐานการบริการของเรา ซึ่งดีกว่าอีกเจ้าหนึ่งมาก

ถ้าผมไม่บอกความจริงกับลูกค้า เพียงแค่รับจองเพื่อให้มีรายได้ ลูกค้าก็คงจะไม่ประทับใจที่ได้รถเก่า และคงไม่กลับมาเหมือนในกรณีนี้ จริงๆแล้วเหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดเป็นครั้งแรก เพราะครอบครัวของเราทำงานด้วยความซื่อสัตย์ และยึดความถูกต้องเป็นเกณฑ์มาโดยตลอด

ผมอยากให้เรื่องนี้เป็นตัวอย่างเล็กๆของความซื่อสัตย์ที่ทำให้เราทำธุรกิจได้ยาวนาน และความซื่อสัตย์นี่แหละครับ Key Success Factor ของธุรกิจของเรา ถีงแม้ว่าความซื่อสัตย์จะไม่ทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในทันที แต่ผมเชื่อว่า อย่างน้อยมันก็ทำให้เราสบายใจในทันที และจะส่งผลที่ดีให้เราเห็นอย่างแน่นอนในอนาคต

โครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ (NEC) จ.ภูเก็ต

วันที่ 24 ก.พ. – 5 มี.ค. 2553 ที่ผ่านมา ผมได้เข้าร่วมการฝึกอบรมของโครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ หรือ ชื่อภาษาอังกฤษว่า New Entrepreneurs Creation หรือเรียกย่อๆว่า NEC และคิดว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่มีประโยชน์มากสำหรับ SMEs อย่างเรา จึงมาเล่าสู่กันฟัง

โครงการ NEC ที่จังหวัดภูเก็ตนี้ เป็นโครงการของ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 10 จัดการสอนโดย ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการมีกิจการเป็นของตัวเองได้มาเรียนรู้วิธีการทำธุรกิจเบื้องต้น

กลุ่มเป้าหมายของโครงการนี้คือ
– กลุ่มผู้ว่างงาน
– กลุ่มที่เพิ่งจบการศึกษา
– กลุ่มทายาทธุรกิจ
– กลุ่มผู้ประกอบอาชีพ
– กลุ่มผู้ที่เริ่มประกอบธุรกิจไม่เกิน 3 ปี

วิชาที่สอน เช่น
– การจัดทำแผนการลงทุน และวิเคราะห์โอกาสการลงทุน
– การจัดการด้านการผลิต และบริการ
– การศึกษาวิจัยตลาด
– การสร้างทีมงาน
– การออกแบบบรรจุภัณฑ์
– ระบบภาษีอากร
– การวางแผนการตลาด
– ระบบบัญชี
– การวิเคราะห์ทางการเงิน และโครงสร้างต้นทุน

รวมถึงมีการให้ทำแผนการลงทุนจริง ซึ่งทำให้เราเข้าใจการทำธุรกิจมากยิ่งขึ้น หากเพื่อนๆสนใจ สามารถติดต่อหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต
ห้อง 1109 คณะเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต
ถนนวิชิตสงคราม ตำบลกะทู้ อำเภอกะทู้ จ.ภูเก็ต 83120
โทรศัพท์ 076-276412-3, เบอร์แฟกซ์ : 076-276411

Website: http://psu-bic-phuket.com
E – mail : info@psu-bic-phuket.com

ความรู้สึกส่วนตัว ผมคิดว่า การเข้าร่วมโครงการนี้ ทำให้เราเข้าใจการวางแผนในการทำธุรกิจมากขึ้น วิทยาการแต่ละท่านที่ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจเชิญมา ก็เป็นอาจารย์ที่มีประสบการณ์และให้ความรู้พวกเราได้ดีมาก รวมถึงการได้เพื่อนใหม่ที่จะเป็นพันธมิตรธุรกิจในอนาคต ผมประทับใจโครงการ NEC นี้มากครับ

เรื่องของการเช่า การตั้งราคาค่าเช่า

เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา มีรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ได้โทรศัพท์มาถามผมเกี่ยวกับการตั้งราคาค่าเช่าทรัพย์สินว่ามีหลักการอย่างไร อาจจะเห็นว่าครอบครัวผมทำอะไรเกี่ยวกับการเช่าเยอะ ทั้ง รถเช่า บ้านเช่า ห้องเช่า (โรงแรม) ผมก็เลยถือโอกาสนี้แบ่งปันประสบการณ์ของผมแล้วกัน เผื่อจะมีประโยชน์กับหลายๆท่าน

อันที่จริง หลังจากผมได้รับคำถามนี้ผมก็เงียบไปพักหนึ่ง ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะราคาค่าเช่าที่เราใช้กันอยู่ ก็อยู่บนพื้นฐานที่คุณพ่อคุณแม่ของผมคิดเอาไว้ตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจ ผมก็จำเป็นต้องขอความรู้จากคุณพ่อผมอีกต่อหนึ่ง เอาเป็นว่าผมจะเขียนจากความรู้และประสบการณ์ของครอบครัวแล้วกันนะครับ อาจจะถูก หรืออาจจะผิดก็ได้ แต่ก็เป็นวิธีการที่ทำให้เราทำธุรกิจ และฝ่าฟันมาได้กว่า 30 ปีครับ

การจะตั้งราคาค่าเช่าทรัพย์สินอย่างไร มันคงต้องคำนึงถึงหลายอย่าง

1. คิดเรื่องการคืนทุน

แน่นอนครับ การให้เช่าคือการทำธุรกิจอย่างหนึ่ง ต้องคิดว่าจะคืนทุนเมื่อไหร่ หรือ ระยะเวลาคืนทุนเท่าไหร่เราจึงจะพอใจ การคิดเรื่องการคืนทุนนี้ก็เกี่ยวข้องกับหลายๆปัจจัยครับ เช่น

– อายุการใช้งานของทรัพย์สิน และ อัตราการเสื่อมของทรัพย์สิน ถ้าทรัพย์สินมีอายุการใช้งานสั้น ก็ต้องคิดค่าเช่าให้คืนทุนเร็วๆ เช่น การให้เช่ารถยนต์ สมมุติว่ารถยนต์มีอายุการใช้งาน 5 ปี เราก็ควรคิดค่าเช่าให้คืนทุนใน 5 ปี  แต่ถ้าทรัพย์สินใดมีอายุการใช้งานนานๆ ก็อาจคิดค่าเช่าให้คืนทุนนานขึ้น เช่น การให้เช่าบ้าน ปกติไม่สามารถที่จะทำให้คืนทุนเร็ว เช่น ภายใน 7-10 ปี ยกเว้นมีตลาดเฉพาะ เป็นที่ต้องการของคนเฉพาะกลุ่ม หรือทำการตลาดเก่งๆ (อันนี้จากประสบการณ์ในปัจจุบันของผมนะครับ)

– ค่าบำรุงรักษา อันนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้องนำมาคิดครับ เช่น หากจะให้เช่ารถ เราจะคำนึงถึงแต่ ค่าผ่อนรถในแต่ละเดือนไม่ได้ แต่ต้องรวมถึงค่าใช้จ่ายในการตรวจ และซ่อมบำรุงตามระยะทาง ค่าประกัน ค่าทะเบียนรถ ฯลฯ

– ค่าจ้างแรงงาน ค่าแรง ค่าบริหาร ค่าใช้จ่ายส่วนนี้อาจไม่ได้เป็นค่าใช้จ่ายโดยตรง แต่เราก็ไม่ควรที่จะลืมคิด โดยทั่วไปแล้วผู้ประกอบการส่วนมาก มักจะลืมคิดค่าแรงตัวเอง เพราะคิดว่าได้มันมาฟรีๆ

2. อุปสงค์ อุปทาน (Demand & Supply)

อันนี้ก็ตรงๆครับ ถ้าสินค้าหรือทรัพย์สินของเรา ยังไม่เคยมีใครนำมาให้เช่า แต่เป็นที่ต้องการของตลาด ก็จะสามารถให้เช่าได้ในราคาสูง พอมีคนอื่นเห็นว่าธุรกิจที่เราทำนั้นดี ก็จะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้น ก็ทำให้ราคาค่าเช่าลดลง เพราะฉะนั้น เรื่องอุปสงค์ อุปทานของสินค้าหรือทรัพย์สินนั้นๆก็มีผลอย่างมากต่อราคาค่าเช่า

3. ปัจจัยอื่นๆ

นอกจากหัวข้อข้างต้นแล้ว ผมคิดว่าการตั้งราคาอาจจะต้องมีอีกหลายปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจไม่สามารถเขียนได้ครบทั้งหมด ผมจะเขียนเท่าที่คิดได้แล้วกันนะครับ เช่น

– ความเสี่ยง เช่น การให้เช่ารถ ก็ต้องเสี่ยงมากกว่า การให้เช่าบ้าน  รถอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย หรือถูกขโมย แต่บ้านคงไม่มีใครขโมยบ้านจากที่ดินของเราไปได้ มีหลายคนถามผมว่ารถหายด้วยหรือ ผมก็ตอบไปว่าทำธุรกิจทั่วไปก็มีโดนโกง เช่ารถก็เหมือนกัน ก็เป็นเรื่องปกติ

โอกาสที่ทรัพย์สินเราจะถูกเช่า (Occupancy Rate) เช่น ใน 1 ปี ทรัพย์สินของเราจะถูกเช่าสักกี่วัน ถ้านานๆจึงจะมีคนเช่าสักครั้งหนึ่ง แน่นอนราคาค่าเช่าก็ต้องสูง เช่น ทรัพย์สินที่ผู้เช่าต้องการเป็นครั้งคราว หรือตามฤดูกาล  แต่ถ้าทรัพย์สินของเราเป็นที่ต้องการของคนทั่วไปอยู่แล้ว มีคนเช่าเยอะ ก็อาจจะให้เช่าในราคาถูกลง

ยกตัวอย่างเช่น บ้านพักตากอากาศ อาจจะให้เช่าได้เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ หรือช่วงวันหยุดยาว ราคาค่าเช่าถ้าคิดเป็นวันก็อาจจะแพง แต่ถ้าเป็นบ้านเช่าทั่วไป มีคนเช่าเป็นเดือน หรือเป็นปี ค่าเช่าเมื่อเฉลี่ยออกมาเป็นรายวันก็จะถูก

– เรื่องของจิตใจ อันนี้อาจไม่ค่อยเกี่ยวกับธุรกิจมากนัก แต่ก็ทำให้หลายคนเลิกจากอาชีพนี้ เนื่องจากทรัพย์สินที่นำมาให้เช่าส่วนใหญ่จะมีมูลค่าสูง เราก็ต้องหามาตรการที่จะดูแลทรัพย์สิน การที่ให้ใครที่เราไม่รู้จัก เช่าหรือเอาทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงของเราไปใช้ เพื่อแลกกับเงินไม่กี่บาท (เมื่อเทียบกับมูลค่าทรัพย์สิน) มันก็ต้องทำใจให้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ตามสถิติของผม รถป้ายแดงที่นำมาให้เช่า มักมีรอยขูดขีด หรือบุบ ทั้งๆที่ยังไม่ทันได้เปลี่ยนป้ายเลย เป็นเรื่องปกติที่ต้องทำใจรับให้ได้

ปัจจัยต่างๆที่ผมคิดได้ในตอนนี้ก็เท่านี้หละครับ ถ้ามีโอกาส จะได้แบ่งปันเรื่องอื่นต่อไป หากสนใจหาความรู้เพิ่มเกี่ยวกับรถเช่า ก็เชิญได้ที่ http://www.PhuketCarRent.info ครับ ถ้าใครสนใจเช่ารถ อย่าลืมลองใช้บริการ เพียวคาร์เร้นท์ หรือ หาบ้านเช่าในภูเก็ต ก็ลองดูที่ เพียววิลล่า หรือ หาโรงแรมราคาประหยัด ในตัวเมืองภูเก็ต ก็ เพียวแมนชั่น ครับ

WordPress Themes