วันนี้คุณเดินจงกรม นั่งสมาธิแล้วหรือยัง
คนเรียนสมาธิ อาจไม่ใช่คนมีสมาธิ!
คนรู้สมาธิ อาจไม่ใช่คนมีพลังจิต! (ไม่สามารถคุมใจตน)
สมาธิ และพลังจิต ได้จากการปฏิบัติ
วันนี้คุณเดินจงกรม นั่งสมาธิแล้วหรือยัง
คนเรียนสมาธิ อาจไม่ใช่คนมีสมาธิ!
คนรู้สมาธิ อาจไม่ใช่คนมีพลังจิต! (ไม่สามารถคุมใจตน)
สมาธิ และพลังจิต ได้จากการปฏิบัติ
วันนี้คุณเดินจงกรม นั่งสมาธิแล้วหรือยัง
เมื่อวานเป็นวันปัจจฉิมนิเทศ ครูสมาธิ รุ่น 35 มีการกล่าวแสดงความรู้สึกของพี่เลี้ยงและนักศึกษา พี่เลี้ยงรุ่น 34 ท่านหนึ่งได้นำบทความที่ผมเคยเขียนให้กำลังใจพี่เลี้ยงเมื่อวันที่ 26/8/2557 มาอ่าน และขอบคุณที่ให้แนวทางในการทำงาน จึงอยากแบ่งปันบทความนี้ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับท่านใดบ้าง
***
ลองอ่านดูนะครับ
***
เรียน พี่เลี้ยง รุ่น 34 และผู้ช่วยงานสถาบันฯทุกท่าน
เข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 ของการเรียนครูสมาธิ รุ่น 35 แล้ว เราคงได้ประสบการณ์ใหม่ๆจากบทบาทหน้าที่ใหม่กันแล้ว หน้าที่ที่เราจะได้เป็นผู้ให้ หน้าที่ที่จะมีบททดสอบหลายอย่างมาทดสอบกำลังใจของเรา ยิ่งท่านที่ต้องประสานงานกับคนอื่นๆหลายคน ยิ่งมีโอกาสที่มีเรื่องมากระทบใจมาก นั่นเป็นเรื่องปกติครับ
พระอาจารย์หลวงพ่อได้กล่าวว่า เราจะทำอะไรประสบความสำเร็จได้ ต้องมีความอดทน อดทนต่อความลำบาก อดทนต่อความตรากตรำ และอดทนต่อความเจ็บใจ
อดทนต่อความลำบาก และตรากตรำ ดูเหมือนจะเป็นความลำบากทางกาย สำหรับทุกท่านแล้ว คงจะผ่านได้โดยไม่ยาก ส่วนอดทนต่อความเจ็บใจนั้นสำคัญครับ เพราะบางครั้งต่อให้เราทำดีแค่ไหน ก็มีโอกาสที่จะได้รับการกระเทือนใจบ้าง ก็ให้อดทน อดทนเหมือนพระอาจารย์หลวงพ่อ ที่ท่านก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย บุญที่ท่านสร้าง ความดีที่ท่านสร้าง ยิ่งใหญ่กว่าพวกเรามาก ยังมีคนที่นำเรื่องมาให้ท่านระคายเคือง แต่ท่านก็ไม่เคยหวั่นไหว ไม่โต้ตอบ ให้เราคิดเสียว่าบุญยิ่งใหญ่ มารยิ่งมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเราเข้าใจ เราจะไม่ต้องทน เพราะเมื่อเราเข้าใจแล้ว แสดงว่าเรารู้ที่เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดสิ่งนั้นๆ เราก็จะรู้ว่ามันคือธรรมชาติ เราก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติ
เมื่อเราเข้าใจ เราจะไม่ต้องทน แต่เราจะเข้าใจได้ เราต้องมีพลังจิตเพียงพอก่อน เพียงพอที่จะรู้ตน เข้าใจตน เข้าใจคนอื่น ถ้าเราผ่านได้แสดงว่าเราผ่านข้อสอบภาคปฏิบัติจริงๆ ข้อสอบที่พระอาจารย์หลวงพ่อออกแบบไว้ให้กับครูสมาธิทุกรุ่น ถ้าผ่านได้ แสดงว่าเราได้ยกระดับจิตขึ้นได้อีกขั้นหนึ่งแล้ว แต่ถ้ายังผ่านไม่ได้ เรารู้ตัว ก็แค่พยายามใหม่
อย่าลืม เดินจงกรม นั่งสมาธิ ทุกๆวันนะครับ
ขอเป็นกำลังใจ และขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ
ลัพธวิทย์ อารีราษฎร์
อยากลืมกลับจำ อยากจำกลับลืม
เมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว เมื่อเราเป็นอาจารย์ใหม่ๆ มีน้อง ม.5 มาขอเรียนสมาธิ แล้วน้องเขาถามว่า
“การเรียนสมาธิ จะสามารถทำให้หนูลืมเรื่องที่ไม่อยากจำได้ไหม”…
ผมจึงถามกลับไปว่า “ทำไมต้องลืม” และอธิบายต่อไป ..
จริงๆแล้ว..
ถ้าเข้าใจ.. ก็จะไม่เจ็บใจ
ถ้าเข้าใจ.. ก็จะไม่เสียใจ
ถ้าเข้าใจ.. ก็จะอภัย
ถ้าเข้าใจ.. ก็จะวางได้
ถ้าเข้าใจ.. ก็ไม่จำเป็นต้องลืม
แต่การเข้าใจบางครั้งไม่ได้อยู่ที่เหตุและผล อยู่ที่เรามีพลังจิตมากพอที่จะเห็นตามความเป็นจริงหรือไม่ เมื่อใจมีกำลังพอจึงจะเข้าใจและวางได้ ใจจะมีกำลังได้ต้องอาศัยสมาธิครับ
รางวัลที่พวกเราได้รับจากการทำงานที่แท้จริงก็คือ ความปิติยินดี ที่เราได้เห็นคนที่เรามีโอกาสได้ช่วยเขามีชีวิตที่ดีขึ้น
มีผู้เข้าการอบรมชินนสาสมาธิ (สมาธิเพื่อชนะใจตนเอง) ท่านหนึ่ง น้องสาวเพียรพยายามชวนมาเรียนหลายครั้งกว่าพี่สาวจะมาเรียน เมื่อพี่สาวได้เรียนจบ ก็ได้ขอบคุณน้องสาวอย่างมาก และได้บอกว่า … ถ้าตัวเองไม่ป่วยก็คงไม่เคยคิดที่จะมาเรียนสมาธิ โชคดีจริงๆที่น้องสาวชวนมาเรียน ไม่งั้นเขาคงไม่รู้ว่าสมาธิดีอย่างนี้ ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้มาเรียนสมาธิ
อย่างน้อยพวกเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยให้คนหลายคนเขามีชีวิตต่อไปอย่างมีความสุขและมีคุณค่า ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
คนที่เรียนจบเป็นหมอ เขารู้เหตุของโรคว่าเกิดอย่างไร รู้การดำเนินไปของโรคว่าเป็นอย่างไร และรู้การรักษาโรคว่าจะรักษาให้หายได้อย่างไร ถึงแม้หมอจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโรค ใช่ว่าหมอจะไม่มีโอกาสเป็นโรค หมอก็ติดโรคได้ เป็นโรคได้ ประเด็นอยู่ที่เมื่อเขาเป็นโรคแล้ว เขาเป็นผู้ที่รู้ในอาการของตนดีที่สุด และเขาก็คือบุคคลที่ดีที่สุดที่จะรักษาตัวเอง
การที่พวกเราเดินจงกรม นั่งสมาธิ ฝึกควบคุมใจตน เป็นผู้ปฏิบัติตน ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะไม่จิตตก ไม่ทุกข์ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เราผู้ปฏิขัติตนก็สามารถจิตตกได้เช่นกันหากมีปัญหามากระทบมากๆแรงๆ เพราะเรายังไม่สามารถปฏิบัติตนถึงพระนิพพานได้ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า สำหรับผู้ปฏิบัติ เมื่อเราจิตตกก็คงไม่มีใครรู้ระดับจิตของเราได้ดีไปกว่าตัวเราเอง และเราก็ควรต้องรู้วิธีรักษาตัวเอง
ปัญหามีอยู่ว่า บางครั้งเราจิตตกแล้วไม่ยอมรักษา ก็คงไม่ต่างกับหมอที่ป่วยเป็นโรคแล้วไม่ยอมกินยา โรคนั้นก็มีโอกาสทำร้ายเรามากกว่าเดิม
แน่นอนครับ การกินยาครั้งแรก 2-3 ครั้งแรก ไม่ได้ทำให้โรคหายไปทันทีฉันใด การที่เรามาปฏิบัติขณะจิตตก ก็ไม่ได้สามารถยกระดับจิตใจของเราขึ้นมาได้ทันที แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการรักษาไม่ได้ผล ช่วงแรกเชื้อโรคมันอาจจะมีจำนวนมากมายกว่าจำนวนยาที่เข้าไปปราบมันมาก มันก็ดูเหมือนยังไม่ดีขึ้น เมื่อเราอดทนปฏิบัติตนอย่างต่อเนื่องต่อไป ไม่ยอมแพ้ ไม่ช้าก็เร็ว เราก็จะค่อยๆดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจนระดับจิตกลับมาเหมือนเดิม
อย่าลืมที่จะรักษาตัวเอง เมื่อเราไม่สบาย
อย่าลืมที่จะเดินจงกรม นั่งสมาธิ เมื่อเราจิตตก
จากประสบการณ์ของตัวเอง หากจิตตกมากๆ บางครั้งเราไม่สามารถนั่งสมาธิได้เพราะฟุ้งมาก ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ ก็ให้แก้ด้วยการเดินจงกรม และสวดมนต์แทน แรกๆเดินไปก็ฟุ้งไป เดินไปก็ฟุ้งไป ไม่เป็นไรครับ คิดเสียว่าช่วงแรกนี้เชื้อโรคมันยังมีจำนวนมากกว่ายาที่กินเข้าไป อดทนทำไปสักระยะ จะค่อยๆดีขึ้น
ที่สำคัญเมื่อเรารักษาตัวเราหายได้แล้ว เราอาจจะดีกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ จิตเราจะกลับแข็งแกร่งขึ้น ยกระดับได้มากขึ้นกว่าเดิม ก็คงเปรียบเหมือนกับเวลาเราเป็นหวัดแล้วรักษาหาย ร่างกายเราก็มีโอกาสที่จะมีภูมิคุ้มกันเชื้อหวัดชนิดนั้นไม่ให้กลับมาเป็นอีก
By.. หยดน้ำ
“วันนี้คุณนั่งสมาธิแล้วหรือยัง” เป็นคำถามที่บางครั้งเราฟังแล้วก็ผ่านไป
มันสำคัญจริงๆหรือกับการนั่งสมาธิทุกวัน … สำคัญจริงๆครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้บริหาร ผู้เป็นหัวหน้างาน ผู้ที่ทำงานจิตอาสาเพื่อส่วนรวม
ถ้าเปรียบเทียบกับการรับประทานอาหาร คงเห็นชัดว่าการทานอาหารเพื่อมาหล่อเลี้ยงกายของเราเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำทุกวัน การทำสมาธิเพื่อให้มีกำลังใจมาหล่อเลี้ยงใจของเราก็มีความจำเป็นไม่แพ้กัน เราลองนึกภาพคนที่ทำงานเพลินจนลืมทานข้าว ถามว่าเป็นอะไรไหม ก็คงไม่เป็นอะไร นึกได้ก็ทาน แต่ถ้าเป็นอย่างนี้หลายๆครั้งก็จะเริ่มปวดท้อง เป็นโรคกระเพาะได้ การขาดการทำสมาธิก็เช่นเดียวกัน หากขาดน้อยๆก็คงไม่เป็นไร แต่สำหรับผู้ต้องรับผิดชอบสูง ต้องบริหารงานมากๆ หากขาดการทำสมาธิระดับพลังจิตหรือกำลังใจของเราก็ลดต่ำลงได้ พอมีเหตุอะไรมากระทบ ก็ทำให้เรากระเทือนได้โดยง่าย
สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่เราได้มาพร้อมๆกับการทำสมาธิคือความสุข (หรือ ฌาน) ระดับความสุขในตัวเรามีผลต่อการทำงานของเราอย่างมาก เราลองนึกถึงวันที่เรามีความสุขมากๆ สบายใจมากๆ วันนั้นเราทำงานด้วยความสบายใจ ปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ได้โดยง่าย เพราะขนาดของปัญหามันดูเล็กถ้าเทียบกับความสุขที่เรามี แต่ในทางกลับกัน ถ้าวันไหนที่เรามีความทุกข์ หงุดหงิดมาทำงาน มีอะไรมากระทบเล็กน้อย ก็ทำให้เราย่ำแย่ได้แล้ว
สิ่งหนึ่งที่มีอยู่ประจำในตัวของเราทุกคนก็คือ “โมหะ” ตัวโมหะนี้จะไม่แสดงเดชหากระดับความสุขหรือฌานในตัวเรามีมากพอ แต่วันใดที่เราต้องใช้พลังจิตในการทำงานไปมากๆ และขาดการทำสมาธิ ระดับกำลังใจในตัวเราก็เหลือน้อย เป็นโอกาสที่ตัวโมหะตัวนี้จะขยายตัวและก่อความเสียหายให้กับเรา โมหะมันก่อความเสียหายให้กับเราโดยไม่รู้ตัว เช่น บางครั้งเรื่องเล็กๆเท่าปลายเข็ม แต่มันสะกิดใจเรา เราก็ไปขยายมันให้ปัญหาใหญ่เท่าช้าง เกิดความเสียหายใหญ่โต และตัวเรานี่แหละต้องกลับมาเป็นผู้แก้ปัญหานั้นเอง
โมหะตัวนี้และที่ทำให้ใจเราหม่นหมอง ทำให้ใจเราหดหู่ ไม่อยากทำงาน มองโลกในแง่ร้าย และหมดกำลังใจในที่สุด
ถึงเวลาของผู้ชนะแล้ว … วันนี้ คุณนั่งสมาธิแล้วหรือยัง
by.. หยดน้ำ
ถ้าไม่มีพลังจิต หรือกำลังใจเพียงพอ ยากที่จะแก้ปัญหาได้
ต่อให้เป็นคนที่ฝึกจิตมา ก็ใช่ว่าจะชนะกิเลส หรือแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง
เหมือนศิลาทับหญ้า เมื่อไหร่ศิลาอ่อนกำลัง หญ้าก็เจริญงอกงาม
หน้าที่ของเราคือฝึกจิตต่อไป เร่งความเพียร
วันนี้ คุณนั่งสมาธิหรือยัง !!
เรี่ยวแรงฉันยังเหลือยังมี
ใจซิมีไม่พอ ..
หากเคยรู้สึกอย่างนี้ ลองเติมกำลังใจด้วยสมาธิไหมครับ ใจเรา เราต้องรักษาเอง ไม่มีใครทำหน้าที่นี้ได้ดีเท่าตัวเราเอง
+ เดินจงกรม ช่วยผ่อนปัญหาหนักทุกเรื่อง ให้เป็นเบาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
+ นั่งสมาธิ ช่วยเสริมกำลังใจให้เข้มแข็ง แข็งแกร่ง สงบ และมั่นคงยิ่งขึ้น
หากถามว่า “นั่งสมาธิเพื่ออะไร” หลายๆคนมักตอบว่า เพื่อความสงบ เพื่อความสุข เพื่อให้สบายใจ
จริงๆแล้วคำตอบทั้งหลายเป็นผลที่เกิดจากสิ่งที่ได้จากการนั่งสมาธิ คือ พลังจิต หรือ กำลังใจ ของเรานั่นเอง
พลังจิต หรือ กำลังใจของเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่เราอาจไม่รู้จักมันดีพอ หรือยังไม่ให้ความสำคัญกับมันมากพอ หลายๆเรื่องเป็นสิ่งที่เรารู้ แต่ถ้าใจของเราไม่มีกำลังพอ เราก็ทำไม่ได้ หรือไม่ประสบความสำเร็จ เช่น ทุกคนต่างรู้ว่าอะไรทุกข์ อะไรสุข ต่างก็รู้ดี แต่เคยถามตัวเองไหมครับว่า ทำไมเราไม่สามารถจะโยนทุกข์ทิ้งไปแล้วเก็บแต่สุขเอาไว้ ทุกคนต่างรู้ว่าศีล 5 ข้อมีอะไรบ้าง ท่องได้แม่น และรู้ว่าถ้าทำได้ก็ดี แต่เราก็มักจะทำกันไม่ได้..เพราะอะไร
คำตอบคือ ใจของเราไม่มีกำลังพอ เราอาจจะรู้ รู้ดีด้วย แต่หากใจเราไม่มีกำลังพอ เราก็ไม่สามารถโยนทุกข์ทิ้งไปจากใจได้ หรือ เราอาจไม่สามารถห้ามใจเราทำสิ่งไม่ดีบางอย่างได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เราไม่รู้ แต่เป็นเพราะใจไม่มีกำลัง
การนั่งสมาธิ การเดินจงกรม เป็นการเพิ่มพลังจิต หรือกำลังใจของเรา เมื่อเรามีพลังจิต เราก็จะมีสติ รอบคอบขึ้น มีเหตุผลมากขึ้น มีเมตตามากขึ้น เมื่อใจมีกำลังพอ เราก็สามารถหยุดความทุกข์ได้ หยุดการกระทำที่ไม่ดีได้ และมีความสุขเพิ่มขึ้น
ถ้าจะเปรียบเทียบ เราอาจจะดูคนยกกระสอบข้าวสาร เรารู้วิธียก ว่ายกอย่างไร แต่ถ้ากำลังของร่างกายไม่พอ เราก็ยกไม่ได้ เรื่อของใจก็เหมือนกันครับ
** วันนี้ คุณนั่งสมาธิ แล้วหรือยัง **
** กว่า 1,000 วัน จากวันนั้นถึงวันนี้ **
วันนี้ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เป็นครั้งแรกที่ผมตื่นมานั่งสมาธิตอนหัวรุ่งช่วง 04.00 – 05.00 น. ด้วยการชักชวนของ อ.ชิราวุธ กรจรุงเกียรติ ในการบรรยายเรื่องอัตถสาสมาธิ (การทำสมาธิในช่วงโอกาสทอง) ผมได้ตั้งสัจจะวาจาร่วมกับเพื่อนๆในห้องเรียนว่าจะตื่นมาปฎิบัติร่วมกัน ด้วยความไม่มั่นใจและไม่อยากผิดวาจา จึงขอตั้งสัจจะเพียงวันเดียวก่อน เพราะคิดว่าการตื่นเช้าสำหรับเรานั้นเป็นไปไม่ได้
จากวันเดียว ถึงวันนี้มากกว่า 1,000 วันแล้วที่ผมได้นั่งสมาธิทุกวัน น้อยบ้าง มากบ้าง ขยันบ้าง ขี้เกียจบ้าง แต่ไม่เคยขาด เพราะรู้แล้วว่าสมาธิมีประโยชน์ขนาดไหน
เมื่อวานมีโอกาสได้บรรยายเรื่อง อัตถสาสมาธิ และมีนักศึกษาจำนวนมากตั้งสัจจะวาจาว่าจะตื่นเช้ามาทำสมาธิด้วยกัน ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
ขอขอบคุณ และขออนุโมทนาบุญกับ พระอาจารย์ ครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ทำให้พวกเราพบแสงสว่างดังเช่นวันนี้