บนโต๊ะรับประทานอาหาร ลูกชายคนเล็กก็เริ่มบทสนทนา
ลูกชาย: “ปาป๊า อะตอมรู้แล้วแหละว่าอะตอมเป็นอะไร”
คุณพ่อ: “เป็นอะไรเหรอ”
ลูกชาย: “อะตอมเป็นลูกผู้หญิง”
คุณพ่อ #?~!”+* อึ้งไปประมาณ 3 วินาที คิดในใจ ลูกมาแนวไหนฟะ
ลูกชาย: “ก็อะตอมเป็นลูกของมาม๊า ก็เป็นลูกของผู้หญิงไง”
เด็กๆ เหมือนกระจกบานใหญ่ที่ส่องครอบครัวของเรา จริงหรือเปล่า?
– ถ้าเด็กร่าเริง มีความสุข ก็คงมาจากครอบครัวที่อบอุ่น มีความสุข
– ถ้าเด็กหดหู่ หวาดระแวง เก็บกด ก็อาจจะมาจากครอบครัวที่มีปัญหา
เราคงต้องหันมามองกระจกบานใหญ่ของเราบ้าง ว่าตัวเราเองหรือครอบครัวของเราเป็นอย่างไร มองจากเด็กๆที่เป็นผลลัพธ์โดยตรงของการกระทำต่างๆของเราและคนในครอบครัวของเรา บางครั้งเขาก็สุข บางครั้งเขาก็ทุกข์ เพราะใคร
มาร่วมกันทำให้ทุกครอบครัวมีความสุขฉลองปีใหม่ และตลอดไปครับ
ขอบคุณ อ.จีระสิทธิ์ ถิรวิริยาภรณ์ ที่แบ่งปันประสบการณ์ในการบรรยาย ยุวสาสมาธิ 26/12/2013
ปวดท้อง โรคธรรมดาที่อาจไม่ธรรมดา
วันนี้ผมพาลูกชายไปหาหมอสุนีวรรณ โตรักษา ด้วยอาการไข้หวัดทั่วไป คุณหมอสุนีวรรณได้เล่าว่า เมื่อไม่นานมานี้ มีพ่อแม่คู่หนึ่งจากเกาะพีพีได้พาลูกมารักษากับคุณหมอด้วยอาการปวดท้อง อาการปวดท้องธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
คุณหมอเล่าว่า ก่อนพ่อแม่เด็กจะพาลูกมาหาหมอ เขาคิดว่าลูกอาจจะเป็นโรคกระเพาะ จึงให้เด็กกินยารักษาโรคกระเพาะ ตอนมาถึงเด็กดูมีอาการปวดมาก จากการวินิจฉัยเบื้องต้น คุณหมอคิดว่าน่าจะเป็นไส้ติ่ง หรือไม่ก็ลำไส้กลืนกัน
เมื่อผมได้ยินชื่อโรคลำไส้กลืนกัน ผมก็งงเล็กน้อย แล้วก็ถามหมอว่า “มันเป็นยังไงครับ” คุณหมอท่านก็เมตตาเล่าให้ฟังว่า โรคลำไส้กลืนกัน ปกติพบในเด็กเล็ก คือ ปกติลำไส้จะมีการเคลื่อนตัวตามปกติของมันอยู่แล้ว แต่เมื่อมีจุดหนึ่งของลำไส้มีปัญหาไม่ทำงาน มันก็จะหยุด ส่วนที่มันเคลื่อนตัวก็จะเคลื่อนกลืนส่วนที่หยุดทำงานนั้น หากรักษาไม่ทันก็จะทำให้ลำไส้เน่าและต้องตัดทิ้ง
โชคดีที่เด็กคนนั้นได้มาพบคุณหมอ ซึ่งมีประสบการณ์ในการรักษา หากคิดเอาเองว่าไม่เป็นไรคงแค่ปวดท้องธรรมดา หรือไม่รู้ว่าเด็กแกล้งทำหรือเปล่าอาจจะรักษาไม่ทันท่วงที
เดี๋ยวนี้มีโรคแปลกๆเยอะครับ ถ้าไม่แน่ใจเราให้ผู้เชี่ยวชาญคือคุณหมอเป็นผู้วินิจฉัยดีกว่าครับ หมอสุนีวรรณ โตรักษา ประจำอยู่ที่ คลินิกเป็นสุข ถ.เจ้าฟ้าตะวันตกครับ
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปร่วมทำบุญบริจาคเงินให้กับโครงการประทีปเด็กไทย จริงๆอยากทำมาตั้งนานแล้ว เพราะความฝันอันหนึ่งของผมคือ อยากสร้างโรงเรียน เคยคิดกับตัวเองว่าถ้าเรามีเงินเยอะๆเราจะช่วยสังคมอย่างไร สำหรับผม การศึกษาคือคำตอบ เพราะผมคิดว่าการให้การศึกษาแก่เยาวชนจะช่วยแก้ปัญหาหลายอย่าง เช่น ถ้าเด็กมีความรู้เรื่องโภชนาการและสุขลักษณะ ปัญหาด้านสาธารณสุขก็ลดลง ถ้าเขามีความรู้พอที่จะมีอาชีพ ปัญหาเด็กเร่ร่อน การถูกหลอก การถูกเอารัดเอาเปรียบก็จะลดลง ปัญหาหลายปัญหาในประเทศเราแก้ได้ด้วยการศึกษา ถึงแม้ว่าความจริงแล้วที่ถูกต้องควรจะเป็นการศึกษาบวกกับศีลธรรม แต่ยังไงพื้นฐานก็คือการศึกษา
ตอนนี้ผมยังไม่มีเงินที่จะสร้างโรงเรียนให้เด็กๆ แต่สิ่งที่ทำได้คือร่วมเป็นอีกกำลังเล็กๆที่ช่วยให้โครงการประทีปเด็กไทยซึ่งเป็นโครงการสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ก่อตั้งโดยพระธรรมมงคลญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร) มีจุดประสงค์เพื่อให้เด็กในวัย 2-6 ขวบ ได้รับการพัฒนาทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา อย่างถูกต้องและเหมาะสม
ในวันอาทิตย์ผมได้คุยกับเจ้าหน้าที่โครงการประทีปเด็กไทย เธอเล่าให้ฟังว่าตอนนี้ยังมีโรงเรียนรอคิวที่จะขอทุนเพื่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอีกกว่า 20 โรงเรียน ผมจึงรับปากกับเธอว่าจะนำเรื่องราวของโครงการนี้ช่วยเผยแพร่ เผื่อเป็นอีกหนึ่งแรงที่จะช่วยกันพัฒนาเยาวชนของชาติ ผู้ที่เราจะฝากประเทศของเราไว้ในอนาคต
ผู้ที่สนใจ สามารถติดต่อทำบุญได้ที่
1. สถาบันพลังจิตตานุภาพ วัดธรรมมงคล สุขุมวิท101 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ 10260
โทร 02 730 5827, 02 311 3903, 02 311 1387
โทรสาร 02 741 7841, 02 741 7821
2. โอนเงินเข้าบัญชี ธนาคารกสิกรไทย สาขาบางจาก บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 035-2-70147-5 ชื่อบัญชี โครงการประทีปเด็กไทย (วัดธรรมมงคล) แล้วแฟกซ์ใบนำฝากหรือถ่ายสำเนาใบโอนเงินให้กับโครงการ
-
-
ประทีปเด็กไทย: โครงการสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยพระธรรมมงคลญาณ
-
-
เมื่อมีผู้ขอความอนุเคราะห์สร้างศูนย์ หลวงพ่อจะเป็นผู้พิจารณาด้วยตนเอง
-
-
ยังมีเด็กอีกมากที่ขาดโอกาส และรอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ใจดี
-
-
ตัวอย่างจดหมายขอความอนุเคราะห์สร้างโรงเรียน
-
-
แผนที่ไปโรงเรียนวัดป่าไก่
-
-
ภาพถ่ายที่ก่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กโรงเรียนวัดป่าไก่
คุณรู้ไหมว่าทำบัญชีแล้วดียังไง ? .. หลายๆคนคงรู้ว่าดี ทำให้เรารู้สถานะ (ทางการเงิน) ของตัวเอง ทำให้เรามีระเบียยวินัยในการใช้จ่าย มีวินัยทางการเงิน วางแผนอนาคตได้ อื่นๆอีกมากมาย..
คุณเคยทำบัญชีไหม หรือ คุณทำบัญชีรายรับรายจ่ายประจำวันหรือไม่ ? .. ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ไม่ทำ (อ้นนี้จากความรู้สึกตัวเอง และการสอบถามคนรอบตัว) และหรือไม่ก็ทำๆหยุดๆอย่างผมเป็นต้น
ที่ยกประเด็นนี้ขึ้นมาเพราะผมได้ทดลองให้ลูกทำบัญชี และลูกได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเกินคาด ปัญหาส่วนหนึ่้งของคนไทยในปัจจุบันคือ เราใช้เงินไม่เป็น เราเรียน 10 กว่าปีในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย เพื่อให้รู้ว่าจะหาเงินอย่างไร แต่แทบไม่เคยได้เรียนว่าเมื่อได้เงินมาแล้วเราจะใช้เงินอย่างไร หรือจะบริหารเงินที่มีอยู่ในกระเป๋าอย่างไร และที่สำคัญ (ตามความคิดของผม) การบริหารเงินไม่ใช่แค่การเรียนรู้หรือวิชาการ แต่เป็นสิ่งที่ต้องฝึกให้เป็นนิสัยตั้งแต่เด็ก
พอลูกของผมอายุประมาณ 7 ขวบ เรียนชั้น ป.1 เริ่มบวกเลขได้ ผมก็ให้เขาเริ่มทำบัญชีรายรับรายจ่ายของตัวเอง บัญชีง่ายๆ เช่น ได้เงินค่าขนม 20 บาท ใช้ไป 10 บาท เหลือ 10 บาท เก็บไว้สะสม วันต่อไปก็ทำเหมือนเดิม และก็เหลือสรุปยอดสะสมเป็นเดือนๆเพื่อไม่ให้ตัวเลขมากเกินไป
ที่ให้ลูกทำคิดง่ายๆแค่เพียงว่า อย่างน้อย เขาก็ได้ทำโจทย์คณิตศาสตร์บริหารสมองเล่นๆวันละ 1 ข้อ และเพื่อฝึกนิสัยการสะสมเงิน หลังจากที่ลูกทำบัญชีไปประมาณ 4-5 เดือน สิ่งที่เราให้ลูกฝึกได้ผลเกินคาด ผมก็เริ่มเห็นพัฒนาการของเขา คือ เขาเริ่มมีการคาดการณ์แล้วว่า เดือนนี้จะเก็บได้เท่าไหร่ เยอะหรือน้อยกว่าเดือนที่แล้ว ไม่ใช่แค่นั้น เขายังรู้จักเปรียบเทียบสถานะการเงินของตัวเองในปัจจุบันกับในอดีต เช่น วันที่ 15 เดือนนี้ เก็บเงินได้ 225 บาท มากกว่าวันที่ 15 เดือนที่แล้ว เพราะฉะนั้นเดือนนี้เขามีโอกาสที่จะเก็บเงินได้มากขึ้น
ผมไม่รู้ว่าตัวเขาเองรู้หรือเปล่าว่าเขากำลังเริ่มวางแผนการใช้เงินของตัวเองเป็นแล้ว แต่ที่ผมรู้ก็คือ เขาใช้เงินอย่างระมัดระวังมากขึ้น ถ้าเราให้เงินลูกอย่างไม่มีขีดจำกัด ลูกก็จะใช้ตามความต้องการของตัวเอง ซึ่งความเป็นจริงไม่ใช่ ทุกคนมีขึดจำกัด หากเพียงแต่ว่าขีดจำกัดของแต่ละคนไม่เท่ากัน เราต้องให้เขารู้ถึงขีดจำกัดของเขาเอง
อย่าว่าแต่เด็กเลยครับ ถ้าเราทุกคนสามารถทำประมาณการทางการเงินของตัวเองออกมา เราก็จะวางแผนชีวิตของเราได้ดีขึ้น ชีวิตเราก็จะดีขึ้น จริงไหมครับ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมพาลูก 2 คนนั่งรถยนต์ออกจากบ้าน ลูกนั่งอยู่ที่เบาะหลัง
ผมหันหลังไปบอกลูก “นั่งให้เรียบร้อยนะ ความปลอดภัยต้องมาอันดับ 1”
ด้วยความเป็นเด็ก หรืออะไรก็แล้วแต่ ลูกคนเล็กถามกลับมาว่า “แล้วอันดับ 2 คืออะไรละ ปาป๊า”
ลองตอบคำถามดูซิครับ เป็นท่าน ท่านจะตอบว่าอย่างไร ???
ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกครับว่าผมตอบลูกว่าอะไร เพราะลูกจะถามต่อไปเรื่อยๆว่า แล้วอันดับ 3, 4, 5, … คืออะไร แต่ที่ผมอยากตั้งข้อสังเกตก็คือ เราตอบคำถามนี้ไม่ได้ใช่ไหมครับ หรือต้องคิดเยอะกว่าจะตอบได้ เพราะบ่อยครั้ง ที่ชีวิตเราไม่รู้ว่าอันดับ 2 คืออะไร จริงไหมครับ
บ่อยครั้งชีวิตเรามีแต่แผนหลัก มีแผนเดียว ไม่มีแผนสำรอง เช่น คนทำขายของ ก็ขายอย่างเดียว ขายอย่างเดิม ทุกวันๆ ไม่ได้มองดูรอบข้าง รู้ตัวอีกที ลูกค้าหายหมดแล้ว และไม่มีแผนสำรองว่าจะไปทำอะไร หรือคนที่เป็นลูกจ้าง ก็ทำงาน แล้วก็ใช้เงิน เดือนชนเดือน ด้วยคิดว่าเดือนหน้าก็ได้เงินมาอีก จนลืมคิดไปว่า ถ้าบริษัทปิดตัว หรือถ้ามีอันต้องตกงาน จะทำอะไร
อาจจะด้วยชีวิตที่เร่งรีบ มีอะไรให้ทำมากมาย ยุ่งจนไม่มีเวลาคิด หรือด้วยความประมาทกับชีวิตก็ตาม ทำให้เราลืมแผน 2 สำหรับชีวิต พอเกิดเหตุขึ้นมาก็รับไม่ทัน ทำให้ชีวิตเสียศูนย์ได้ หรือเกิดการสูญเสียจนยากที่จะเยียวยาได้ทัน
บทความนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าที่อยากจะเตือนท่าน ดังปัจจฉิมเทศนาของพระพุทธเจ้าว่า “อย่าประมาท“ เพราะเวลาที่เราจะจมน้ำ ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาหัดว่ายน้ำ มันไม่ทันการณ์เสียแล้ว
วันนี้.. ลูกชายคนเล็ก อายุ 4 ปี ซ้อมวิ่งแข่งที่ รร.ดาราสมุทรภูเก็ต
คุณยาย ถามว่า “วิ่งชนะไหม”
หลานตอบ “วิ่งชนะ … ชนะคนสุดท้าย”
55 มันเก่ง
คุณแม่ อธิบายลูกชายคนโต เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิต
พอถามลูกชายคนโต ลูกชายคนเล็กก็ตอบได้ด้วย
พอถึงบทที่ยากขึ้น เรื่องเกี่ยวกับต้นไม้
คุณแม่ลองถามลูกชายคนเล็ก “รู้ไหมรากมีหน้าที่อะไร”
ลูกชายคนเล็กตอบ “ถ้ารู้หมดนี่ก็ฉลาดเกินไปซิ หม่าม๊า”
55 ขนาดตอบไม่ได้ก็ยังรักษาชั้นเชิง ไม่ยอมแพ้ นี่เด็กแค่ 3.5 ขวบนะ ผู้ใหญ่เราบางทีก็วางฟอร์มไม่ยอมแพ้ แต่ไม่น่ารักเหมือนเด็ก..ว่ามั๊ย
ก่อนอ่านเรื่องนี้ ลองคิดดูเล่นๆก่อนดีไหมครับว่า ถ้าไม่มีทีวี จะมีผลกระทบกับชีวิตเราอย่างไร
… แล้วค่อยลองไปอ่านดู ว่าเด็กๆคิดยังไง
เช้าวันอาทิตย์ หลังจากที่ลูกชาย 2 คน ทานข้าวกันเรียบร้อย แต่ยังไม่ยอมไปอาบน้ำ
ผม: “เด็กๆ ทำไมยังไม่ไปอาบน้ำกัน”
ลูก: “ขอดูการ์ตูนก่อน”
ผม: “ก็อาบน้ำให้เสร็จแล้วค่อยมาดูซิ”
ลูก: “ไม่เอา ขอดูการ์ตูนอีกแป๊บเดียว”
ผม: “ถ้าดูทีวีแล้วทำให้ลูกไม่มีระเบียบวินัย เราขายทีวีเลยดีไหม”
ลูก: “ถ้าขายทีวีแล้ว ปาป๊าก็จะไม่ได้ดูข่าวด้วย ต่อไปถ้าโลกจะแตก ปาป๊าก็ไม่รู้ เพราะไม่ได้ดูข่าว ก็ไม่ได้เตรียมตัว กิ๊วกิ๊ว”
**ดูเด็กสมัยนี้ รู้จักต่อรองสารพัด
ชื่อบทความ “สุดยอดหมอดเด็กในภูเก็ต” น่าจะไม่เว่อร์ไปสำหรับคุณหมอเด็กใจดีคนนี้ อย่างน้อยก็เป็นสุดยอดหมอเด็กประจำครอบครัวของเรา คุณหมอ สุนีวรรณ โตรักษา คุณหมอที่ช่วยดูแลรักษาลูกๆของผม 2 คนมาด้วยดีและใส่ใจมาโดยตลอด จริงๆแล้วช่วงหลัง พอมีปัญหาสุขภาพไม่เฉพาะเรื่องเด็ก เรื่องผู้ใหญ่ก็แอบปรึกษาคุณหมอบ้างครับ
ครอบครัวของเรารู้จักคุณหมอ สุนีวรรณ โตรักษา โดยการแนะนำของลูกค้าชาวต่างชาติที่มาตั้งรกรากในภูเก็ต และมาเช่ารถของเพียวคาร์เร้นท์เป็นประจำ ตอนที่ลูกชายคนแรกคลอดใหม่ๆผมก็ได้มีโอกาสถามลูกค้าคนนี้ว่า ลูกของเขาหาหมอเด็กที่ไหน เขาก็แนะนำอย่างมั่นใจว่า คุณหมอ สุนีวรรณ หมอดีแน่นอน เคยช่วยลูกของเขาตอนป่วยหนัก ไม่เลี้ยงไข้เหมือนบางที่ (ตอนนั้นลูกเขาป่วยหนัก มีโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งแนะนำให้นำเด็กเข้าห้อง ICU แต่เขาขอย้ายโรงพยาบาล ได้คุณหมอ สุนีวรรณ เป็นผู้ตรวจ ซ่วยรักษา และไม่ต้องเข้าห้อง ICU ไม่ช้าก็หายดี)
จากนั้นผมก็ย้ายลูกของผมไปตรวจกับคุณหมอ สุนีวรรณ โตรักษา ผมยังจำครั้งแรกที่พาลูกไปตรวจกับคุณหมอ สุนีวรรณ โตรักษา ที่โรงพยาบาลมิชชั่นภูเก็ตได้ ครั้งแรกที่เจอ คุณหมอก็ถามว่า ย้ายมาทำไม ตรวจที่ไหนก็เหมือนกัน ถามเสียผมกับภรรยาตกใจเลยครับ แต่แล้วคุณหมอก็ตรวจลูกเราอย่างดี ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ
เคยมีครั้งหนึ่ง ลูกเราป่วยหนักมาก จนคุณหมอก็ไม่แน่ใจว่าเป็นอะไรกันแน่ จึงแนะนำให้เราย้ายลูกไปที่โรงพยาบาลใหญ่ในกรุงเทพ ปรากฎว่าหมอในกรุงเทพวินิจฉัยโรคผิด ก็ได้คุณหมอ สุนีวรรณ โตรักษา หละครับที่วินิจฉัยพบว่าลูกเป็นโรคคาวาซากิ และตอนนี้ลูกก็หายดีแล้ว
ครอบครัวของเราชอบการรักษาของ คุณหมอ สุนีวรรณ โตรักษา เพราะท่านพูดตรงไปตรงมา แนะนำตรงๆ อธิบายอาการ และการเกิดโรคอย่างละเอียด ไม่กลัวเสียเวลาเลย ผมสังเกตดู คุณหมอ ไม่ได้ดีกับเฉพาะพวกเราอย่างเดียว แต่ดีกับผู้ป่วยคนไข้ของคุณหมอทุกๆคน
ก็ต้องขอขอบคุณ คุณหมอ สุนีวรรณ โตรักษา คุณหมอแสนดีของเด็กๆไว้ ณ ที่นี้ด้วย
อดีต คุณหมอ สุนีวรรณ โตรักษา ตรวจอยู่ที่
– โรงพยาบาลมิชชั่นภูเก็ต
– คลินิกเวชกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต ที่เมืองทอง
ปัจจุบัน คุณหมอ ย้ายไปเปิดคลินิก ชื่อ คลินิกเป็นสุข ที่ถนนเจ้าฟ้าตะวันตก บริเวณ Software Park Phuket