การที่เราอยู่ที่ภูเก็ต ต้องพบปะนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่บ่อยๆก็ต้องรู้จักขนบธรรมเนียมของเขาไว้บ้าง เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวครับที่บางครั้งการยิ้มเก่งแบบคนไทยเราก็สร้างปัญหาให้กับเราโดยที่เราไม่รู้ตัว เรื่องมีอยู่ว่าขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยกับฝรั่งนั้นแตกต่างกันคือ คนไทยเรายามเกิดเรื่องเศร้า เสียใจ หรือเหตุไม่พึงปรารถนาใดๆ เราก็มักจะถูกสอนว่าให้ยิ้มสู้เอาไว้ แต่ฝรั่งนั้นไม่ใช่ เวลาเศร้าเขาเศร้า มักจะไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเลย
เรื่องนี้เคยเกิดกับตัวผมเองที่ออฟฟิตของเราเพียวคาร์เร้นท์ (Pure Car Rent) เมื่อฝรั่งคนหนึ่งมาคืนรถที่เช่า และเล่าให้ฟังว่า เขาจอดรถผิดที่ และถูกเสียค่าปรับให้กับตำรวจ ผมก็บอกเขาไปว่าผมเสียใจด้วย “I’m sorry.” และยิ้มเล็กน้อยเพื่อเป็นกำลังใจ แต่เขาดันโกรธ และแสดงความไม่พอใจ และบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องสนุกนะ “This is not fun.” เล่นเอาผมหุบยิ้มแทบไม่ทันเลย ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วนะว่า ห้ามยิ้มเวลาฝรั่งเศร้า แต่เผลอยิ้มสู้แบบไทยๆ
จริงๆแล้วเรื่องห้ามยิ้มเวลาฝรั่งเศร้านั้น คุณพ่อของผมได้ตักเตือนและเล่าเหตุการณ์จริงที่เกิดที่ โรงแรม เพียวแมนชั่น (Pure Mansion Hotel) ของเราให้ฟังครั้งหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อหลายปีมากแล้ว (ปี พ.ศ. 252X) สมัยที่โรงแรมของเราเพิ่งจะได้มีโอกาสต้อนรับฝรั่งไม่นาน และตอนนั้นเราก็ยังไม่มีกล้องวีดีโอวงจรปิดรักษาความปลอดภัยเหมือนปัจจุบัน เกิดเหตุของหายในห้องพักของลูกค้าฝรั่ง ลูกค้าก็มาแจ้งผู้จัดการโรงแรม ตอนนั้นผู้จัดการก็ยังพูดภาษาอังกฤษได้ไม่มาก ก็เลยยิ้ม ฝรั่งก็เลยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลย หลังจากนั้นคุณพ่อของผมจึงได้อธิบายให้เขาฟัง และสืบหาความจริง ก็ปรากฎว่าฝรั้งด้วยกันนั่นแหละขโมยกันเอง
ก็เป็นเรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจนะครับว่า เมื่อฝรั่งเศร้า เราก็ต้องทำหน้าเศร้าด้วย ห้ามยิ้มเด็ดขาด ก็ขอฝากเรื่องนี้ไว้เผื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่นครับ
เป็นความยินดีอย่างยิ่งครับ ที่พวกเราได้ร่วมต้อนรับอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ดร.ปรีชา เรืองจันทร์ ตอนนี้ท่าเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกครับ คิดแล้วยังเสียดายที่ท่านอยู่ภูเก็ตได้แค่แป๊บเดียว ก็ต้องย้ายไปพิษณุโลกเสียแล้ว
ในโอกาสนี้ ผมจึงอยากที่จะนำเรื่องความประทับใจที่ผมได้ไปร่วมงานเลี้ยงอำลาท่านผู้ว่าฯ ปรีชา เรืองจันทร์ ในวันที่ 14 มีนาคม 2552 กลับมาโพสไว้ให้ท่านที่สนใจอ่านครับ
—-
ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานเลี้ยงอำลาท่านผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ดร.ปรีชา เรืองจันทร์ คนดีที่ไปที่ไหนก็มีแต่คนรัก และไม่อยากให้จากไป
ผมได้ทราบข่าวเรื่องผู้ว่าฯ ปรีชา ต้องย้ายด่วน จากพี่รจนา รักแต่งาม นายกสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯภูเก็ต ในวันที่12 มีนาคม 2552 เพื่อประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องชาวจุฬาฯรับทราบ เนื่องจากท่านผู้ว่าก็เป็นรุ่นพี่นิสิตเก่าจุฬาฯเหมือนกัน และพี่รจนาได้ชวนให้ผมเป็นหนึ่งในตัวแทนที่จะเข้าร่วมงานอำลาผู้ว่าฯ ในวันที่ 14 มีนาคม 2552
จริงๆแล้วผมก็ลังเลครับว่าจะไปดีหรือไม่ เพราะปกติผมก็ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และไม่ชอบวุ่นวายอะไร เพียงแต่เคยรู้มาอยู่แล้วว่าท่านผู้ว่าฯ ดร.ปรีชา เรืองจันทร์ เป็นคนดี ติดดิน ทำงานแบบลุย ถึงไหนถึงกัน เอาไงเอากัน ไม่ถือเนื้อถือตัว ไม่ถือยศศักดิ์ เคยเจอท่าน 2-3 ครั้ง แต่ท่านคงจำผมไม่ได้หรอกครับ แต่ก็รู้สึกได้ถึงคำที่เขาล่ำลือ
และแล้วผมก็รู้สึกว่าผมคิดไม่ผิดที่ตัดสินใจไปงานเลี้ยงอำลาท่านผู้ว่า ผมยังจำได้ พอใกล้จะเลิกงาน ผมยังหันไปขอบคุณพี่ รจนา รักแต่งาม ที่ชวนผมไปงานวันนั้น แค่ได้ฟังคำกล่าวจากใจท่านผู้ว่าฯ แค่นั้นก็คุ้มแล้ว ท่านกล่าวด้วยคำง่ายๆ แต่แฝงด้วยความหมายลึกซึ้ง และยิ่งตอกย้ำถึงความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของชาวภูเก็ตที่ต้องเสียคนดีๆอย่างนี้ไป ท่านเป็นข้าราชการในอุดมคติ หากคนไทยทุกคนงานทุ่มเทเพื่อแผ่นดินได้แค่เศษเสี้ยวของท่าน ไม่เอาเปรียบแผ่นดินที่เป็นถิ่นเกิดนี้ แผ่นดินไทยของเราคงจะเจริญกว่านี้อีกเยอะ
คำขวัญของงานวันเลี้ยงอำลา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต “มุ่งมั่น ตั้งใจ จากไปรุ่งเรือง”
ท่านได้พูดให้ฟังว่า ในชีวิตท่านรับราชการมา 32 ปี โดยย้ายมาแล้ว 27 ครั้ง บางครั้งได้เข้ารับตำแหน่งแค่วันเดียว แล้วโดนย้ายก็มี ไปรายงานตัวตอนเช้า ตอนเย็นเขาก็ให้ย้ายแล้ว แต่ท่านบอกว่า ท่านชินแล้ว ท่านอยู่ที่ไหนก็ได้ เพราะท่านทำงานให้ประเทศไทย อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน เป็นวินิจฉัยของผู้บังคับบัญชา อย่าไปคิดเลยว่า ย้ายเพราะการเมือง ต้องเชื่อคนเป็นนาย นายของท่านก็ต้องรู้ดีว่าท่านควรจะอยู่ที่ไหน ท่านไม่ได้เก่งกว่านาย ถ้าท่านเก่งกว่านาย ท่านก็เป็นนายของเขาไปแล้ว
ท่านบอกว่า ท่านมาอยู่ภูเก็ต ทำงานให้กับชาวภูเก็ต ได้ 4 เดือน กับ 23 วัน ท่านทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีวันหยุด ทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำ อยากทำงานทั้งวัน ไม่อยากให้มืด เพราะถ้ามืด แล้วกลับบ้าน ก็ต้องคิดถึงลูก ท่านต้องทิ้งลูกสาว 2 คน ซึ่งเปรียบเสมือนดวงใจของท่านอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ เพราะต้องเรียนหนังสือ ไม่สามารถย้ายตามมาภูเก็ตได้ เพราะจะมีผลกับคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ท่านต้องเลี้ยงลูกทางโทรศัพท์ คิดถึงลูกก็ได้แต่โทรคุยกัน ทำงาน 4 เดือนกว่า ได้กลับไปเจอหน้าลูกแค่ครั้งเดียว
เวลาท่านแต่งตัวก็แต่งธรรมดาๆ หลายคนก็ว่าท่านแต่งตัวเชยๆ ท่านก็บอกเขาไปว่า ท่านมาทำงาน ไม่ได้มาเดินแฟชั่น ตั้งใจมาทำงานจริงๆ
ผมคงไม่สามารถเล่าความประทับใจทุกอย่างในงานวันนั้นได้หมด คิดแต่เพียงว่า คนดีดีอย่างนี้ อยู่ที่ไหนก็มีแต่คนรัก อยู่ที่ไหนก็สร้างความเจริญให้กับที่นั่นได้ แค่อดเสียดายในฐานะที่เป็นคนภูเก็ตคนหนึ่งครับที่ต้องเสียคนเก่งและดีไป
ผมไม่รู้ว่าการโยกย้ายแบบนี้หรือที่เขาเรียกว่าย้ายเพื่อความเหมาะสม เพื่อกลั่นแกล้ง หรือย้ายเพื่ออะไรกันแน่ รู้แต่ว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น บ้านเมืองของเราจะเจริญได้อย่างไร เพราะคนทำงานไม่สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง
สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ย้อนรถลึกถึงสมัยยังเรียนหนังสืออีกครั้งครับ เพราะได้ไปเรียนการเขียนเว็บไซต์ด้วย Joomla ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต รู้สึกดีครับที่ได้กลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง
แต่เจ้า Joomla นี่ซิ ตอนแรกนึกว่าง่ายๆ แต่กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ที่ไม่ง่ายก็คือ มันมีรายละเอียดที่ให้เราต้องเรียนรู้เยอะมาก เยอะจนเวลา 4 วันที่เรียนแทบไม่พอ แต่ขอยกเครดิตให้กับอาจารย์ผู้สอนครับ คือ อ.จักรอนันต์ คำมะเนิน เป็นอาจารย์เด็กรุ่นใหม่ไฟแรง มีความรู้ความตั้งใจสูง สอนให้พวกเราเข้าใจ Joomla ขึ้นมาก
พื้นฐานความรู้ของคนที่เรียนในห้องก็แตกต่างกันครับ ส่วนมากก็มักจะเป็นคนที่พอรู้เรื่องเกี่ยวกับการทำเว็บมาบ้างเล็กน้อย แต่ทุกคนก็งงกับเนื้อหาที่เยอะมากที่ต้องเรียนรู้ในเวลาอันจำกัด โชคดีที่ได้อาจารย์ที่ใจเย็น ค่อยๆสอน อธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีกจนพวกเราเข้าใจ
ถ้าใครสนใจเรียนทำเว็บไซต์ด้วย Joomla ที่ภูเก็ต ผมแนะนำ อ.จักรอนันต์ เลยครับ อาจไม่ได้เป็นวิทยากรมืออาชีพ แต่บอกได้คำเดียวครับ “ตั้งใจสุดยอด” ขอขอบคุณ อ.จักรอนันต์ คำมะเนิน
ผมเชื่อว่าเพื่อนๆหลายคนคงเคยได้ยิน เคยเรียน เคยอบรมเรื่องการคิดบวก พวกเรารู้ว่าการคิดบวกเป็นเรื่องที่ดี และพยายามคิดบวก แต่ปัญหาคือ เราไม่สามารถคิดบวกทุกครั้งทุกเรื่องจริงไหมครับ โดยเฉพาะเวลาที่มีเหตุการณ์ร้ายๆเกิดกับตัวเอง ทำไมเหรอครับ
ถ้าถามผมว่า ทำไมเราไม่สามารถคิดบวกได้ทุกครั้ง ผมก็คิดว่า การคิดบวกเป็นสิ่งที่เราต้องฝึก การฝึกจะทำให้เราเก่งขึ้น และคิดบวกได้มากขึ้น อีกอย่างเป็นเรื่องของอารมณ์ บาครั้งเวลาเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ จะทำให้เราเกิดอารมณ์ อาจจะเป็นอารมณ์เศร้า หรือโกรธ หรืออะไรก็ตาม เจ้าอารมณ์นี่แหละที่เป็นตัวกั้นขวางจิตใจเรา
ให้หม่นมัว และทำให้ไม่สามารถคิดบวกได้
ผมมีเพื่อนรุ่นพี่ท่านหนึ่งที่เป็นนักธุรกิจที่เก่งมาก เขามีร้านขายที่ระลึกอยู่หลายสาขา แต่ละสาขาก็ต้องจ้างพนักงานขายประจำร้าน มีอยู่สาขาหนนึ่ง ปกติก็จะมียอดขายประมาณ 90,000 บาท/เดือน แต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ได้พนักงานขายที่เก่งคนหนึ่ง ทำยอดขายได้ขั้นต่ำ 200,000 บาท/เดือน ทุกเดือนมาตลอด 2 ปี เป็นยอดขายที่มากกว่ายอดเฉลี่ยที่เคยได้มากว่า 2 เท่าตลอด 2 ปี แต่วันนี้พนักงานคนนั้นกำลังจะออกจากงาน พี่เขาจึงเป็นทุกข์ และมาปรึกษาผมจะทำอย่างไรดี
ถ้าเป็นท่าน!! ท่านจะทำอย่างไร คิดอย่างไร ??
ถ้าพนักงานคนนั้นจะออกจริงๆ ก็ต้องหาพนักงานใหม่นะซิ แต่ที่แน่ๆก็คือ พนักงานทั่งไปไม่สามารถจะทำยอดขายได้ 200,000 บาท/เดือน
เจอปัญหาอย่างนี้ น่าจะเป็นทุกข์หรือเปล่า
ดูเผินๆก็น่าจะเป็นทุกข์ แต่ผมกลับแนะนำพี่เขาไปว่า ไม่เห็นน่าจะทุกข์ตรงไหนเลย น่าจะมีความสุขเสียด้วยซ้ำ เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะเขาโชคดีนะซิครับ หลายๆท่านคงงงว่าพี่เขาโชคดีอย่างไร ผมได้แนะนำพี่เขาไปว่า “พี่โชคดีมาก เพราะเหมือนพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่งคนเก่งมาช่วยพี่ตั้ง 2 ปี ทำให้พี่มียอดขายมากกว่าปกติมากๆตั้ง 2 ปี อย่างนี้น่าดีใจหรือเสียใจครับ”
เราจะเสียใจ หรือเราจะดีใจ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ พนักงานคนเก่งก็ลาออกอยู่ดี แล้วเราจะเสียใจ หรือดีใจ เราเป็นคนเลือก แล้วเราจะเลือกด้านที่เป็นทุกข์ทำไม เราควรจะคิดบวก และมีความสุขกับชีวิตของเรา และให้กำลังใจตัวเอง คิดวางแผนที่จะสู้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง
การช่วยคนอื่นแก้ปัญหานั้นง่าย แต่หลายครั้งที่เหตุการณ์เกิดขึ้นกับตัวเราเอง เราก็แย่ เราจึงต้องฝึกอย่าสม่ำเสมอที่จะคิดบวก และรู้ใจตัวเอง
ถ้าจะพูดว่าสมาธิเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต หลายๆท่านคงจะเห็นด้วย แต่อาจมีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าไม่จริง และอาจไม่ตระหนักถึงความสำคัญของสมาธิ เพราะอาจคิดว่า ที่ฉันมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่เคยนั่งสมาธิ ไม่เคยเดินจงกรม ก็สามารถอยู่ได้ ไม่เห็นจะเป็นอะไร เมื่อก่อนผมก็คิดแบบนั้นครับ (ก่อนที่ผมจะได้มาเรียนสมาธิ)
ผมอยากยกตัวอย่างง่ายๆอันหนึ่ง ผมอยากเปรียบเทียบการทำสมาธิ เหมือนกับการออกกำลังกาย การออกกำลังกายก็เพื่อให้กายแข็งแรง การทำสมาธิก็เพื่อให้จิตหรือใจของเราแข็งแรงเช่นกัน
ถ้าเราไม่ได้ออกกำลังกาย ร่างกายของเราก็จะอ่อนแอ และค่อยๆเสื่อมทีละเล็กทีละน้อย แต่เราก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ เพราะความเสื่อมนั้นค่อยๆสะสม และยังไม่ได้แสดงอาการ แต่หากปล่อยปะละเลยให้นานวันเข้า ร่างกายที่เป็นสิ่งวิเศษและแข็งแรงของเราก็เริ่มที่จะไม่ไหว อาจจะเริ่มแสดงอาการโดยการที่เป็นหวัดบ่อยขึ้น เริ่มปวด เริ่มเมื่อย และโรคของความเสื่อมต่างๆก็ตามมา บางครั้งอาจรุนแรงกว่าที่เราจะคาดถึง
จิตใจเราก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้ออกกำลังจิต พลังของมันก็จะลดน้อยถอยลง แสดงถึงอาการมากมาย (ซึ่งบางครั้งเราอาจคิดไม่ถึง) เช่น การนอนไม่หลับ โกรธง่าย โมโหร้าย อ่อนไหวง่าย คุมสติตัวเองไม่อยู่ ยั้งอารมณ์ไม่ได้ ทำไปแล้วค่อยมาเสียใจทีหลัง อาการอย่างนี้ทุกคนคงเห็นด้วยว่าเป็นเพราะขาดสติ หรือขาดสมาธิ ผู้อ่านหลายท่านก็อาจมีประสบการณ์ใช่ไหมครับ ผมก็เคยเป็นเช่นกัน
ผมเองเคยเป็นคนที่ทำงานหนักมาก ทำแบบไม่สงสารตัวเอง เพราะคิดว่าตอนนี้ยังมีแรง ขอให้ลำบากเสียตั้งแต่ตอนนี้ ต่อไปจะได้สบาย จึงโหมทำงานหนักโดยไม่ได้สงสารร่างกาย ไม่ได้พักผ่อน ไม่ได้ออกกำลังกาย ไม่ดูแลตัวเอง ผลก็คือ ตัวเองต้องมาเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท โรคฮิตในผู้สูงอายุ แต่ผมเองกลับมาเป็นโรคนี้ตอนอายุแค่ 30 ต้นๆ
พอตัวเราทำงานมาก ก็คอยแต่สะสมความเครียดเอาไว้ ยิ้มก็ไม่เป็น มีแต่ความกังวลอยู่ในหัว ไม่ยอมปล่อยวาง รู้สึกว่าบางครั้งตัวเองหงุดหงิดง่ายขึ้น ทั้งๆที่บางครั้งเป็นเรื่องเล็กน้อย และรู้สึกตัวเองว่าความโกรธของเราในบางครั้งนั้นรุนแรง อาจจะเป็นเพราะการสะสมความเครียดเป็นระยะเวลานานๆก็ได้
หลังจากที่ป่วยเป็น โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ก็ทำให้รู้ตัว สำนึกได้ ว่าชีวิตเรานั้นต้องการสมดุล ไม่ใช่มุ่งแต่ทำอะไรมากจนเกินไปแต่อย่างเดียว ก็แบ่งเวลาพักผ่อน และออกกำลังกายมากขึ้น ร่างกายก็ดีขึ้นตามลำดับ
หลังจากได้เรียนสมาธิ ก็รู้สึกว่าใจของตัวเองสบายขึ้น โกรธน้อยลง หายโกรธเร็วขึ้น เรามีสติมากขึ้น หลับง่ายขึ้น (ทั้งๆที่ตัวเองหลับง่ายอยู่แล้ว) ยิ้มง่ายขึ้น (ปกติจะเป็นเสือยิ้มยาก) ให้อภัยคนอื่นมากขึ้น รู้ใจตัวเอง และคิดถึงใจคนอื่นมากขึ้น มีข้อดีที่ลึกซึ้งมากมายที่ผมได้รับจากการเรียนสมาธิ
เมื่อวานได้ไปพิธีเปิดอุทยานแห่งการเรียนรู้เกี่ยวกับจังหวัดภูเก็ต ในร้านขายของฝาก”กรทอง” ก็รู้สึกดีครับ ที่เห็นองค์กรเอกชนอีกแห่งให้ความสำคัญกับประวัติความเป็นมาของจังหวัดภูเก็ต ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของชาวภูเก็ต นำมาจัดแสดงในร้านขายของฝาก ให้เป็นจุดเรียนรู้สำหรับคนภูเก็ต และผู้มาเยือน
ในร้านมีมุมต่างๆให้ถ่ายรูปได้สวยไม่แพ้สถานที่จริงเลยครับ ของฝากก็มีครบครัน ล้วนเป็นของฝากขึ้นชื่อจากจังหวัดภูเก็ตจริงๆครับ
เป็นความรู้สึกจริงๆครับว่าร่างกายของเรามีพลังขึ้น หลังจากได้นั่งสมาธิ และเดินจงกรมทุกเช้า
จากการแนะนำของอาจาย์ที่สอนสมาธิ ให้ลองนั่งสมาธิ เดินจงกรมตอนเช้ามืด ผมชนะใจตัวเอง ตื่นเช้าได้ (ทั้งๆที่คิดมาตลอดชีวิตว่าเป็นเรื่องยากมากสำหรับเรา) ลองนั่งสมาธิ และเดินจงกรมตอนตี 4 เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2553 ตอนนี้ผมก็ทำสมาธิตอนเช้ามืดต่อเนื่องมาได้หลายวันแล้ว (ยกเว้นคืนวันปีหม่วันเดียว)
ความรู้สึกแปลกอย่างหนึ่งคือ ตอนแรกคิดว่าตัวเองจะง่วงนอนระหว่างวันเพราะต้องตื่นเช้า แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ตอนนี้รู้สึกว่า่ร่างกายของเรามีพลังมากขึ้น เหมือนกับแบตเตอรี่ที่ได้รับการชาร์จไฟเข้าไปใหม่
วันแรกๆของการทำสมาธิตอนเช้า รู้สึกตัวเองมึนๆบ้าง แต่เหมือนมีพลังลึกๆ แบบบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะตัวเรากังวลไปเองว่า เราต้องง่วงแน่ๆ แต่ก็ไม่ต้องนอนระหว่างวันเลยครับ
ตอนนี้หลังทำสมาธิตอนเช้า บางครั้งหากยังเช้ามาก ก็อ่านหนังสือ หรือนอนต่อแป๊บหนึ่ง แต่หลังจากตื่นแล้ัว จะรู้สึกสดชื่นมาก เหมือนตื่นจากข้างใน ไม่ใช่ตาตื่น แต่ตัวไม่อยากตื่นเหมือนที่เคยเป็น
อยากเชิญชวนให้ผู้อ่านลองทำสมาธิดูครับ ไม่น่าเชื่อ ว่าการเดิน หรือนั่ง โดยการทำใจเราให้นิ่ง สงบ กำจัดอารมณ์ต่างๆทิ้่งไป จะมีผลดีกับชีวิตเรามากขนาดนี้
รู้สึกว่าผมจะตั้งชื่อบทความรุนแรง แต่อาจจะไม่เกินไปใช่ไหมครับที่จะใช้สะท้อนความเป็นจริง ความอิจฉาตาร้อนมีอยู่ในสังคมไทย และที่สำคัญมีอยู่รอบข้างเรา จนบางครั้งทำให้เราไม่สบายใจ และขัดขวางการเจิรญเติบโตขององค์กร และสังคม
ผมก็ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงมีความอิจฉาขึ้น ไม่อยากจะไปโทษละครน้ำเน่า แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่เราดูละครแล้วมีตัวอิจฉาไม่ได้ส่งผลอะไรเลยกับจิตใจของเรา บางครั้งการที่เราได้เห็นได้รับรู้เรื่องอะไรบ่อยๆ ถึงแม้เป็นเรื่องที่ผิด อาจจะทำให้กลายเป็นเรื่องธรรมดาในที่สุด (ไม่รู้สึกผิดอีกต่อไป) เช่น การคอร์รัปชั่น การกระทำที่ผิดอย่างมาก กลักกลายเป็นเรื่องปกติในสังคมไทยไปแล้ว มีการคอร์รัปชั่นกันทุกวงการ ตั้งแต่ระดับหัวหน้า จนถึงน้องใหม่เพิ่งเข้าทำงาน
ความอิจฉาริษยาฝังรากลึกในใจคนจนบางครั้งยากที่จะกำจัดให้ออกไป ถ้ายกตัวอย่างระดับประเทศ ก็เห็นได้ชัด อย่างเช่น นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลมีโครงการอะไรดีๆ บางครั้งก็ไม่ได้รับการสนับจากฝ่ายค้าน หรือ มีโครงการดีๆที่เสนอมาจากฝ่ายค้าน แต่ก็ไม่นำมาทำ ทั้งนี้เพราะกลัวฝ่ายตรงข้ามจะได้หน้า ได้คะแนนเสียงไป ทั้งๆที่ตอนรับสมัครเลือกตั้ง นักการเมืองทั้งหลายก็ต่างบอกว่า จะเข้ามาเพื่อบริหารประเทศให้เจริญเติบโต
ในสังคมเล็กๆอย่างที่ทำงาน ก็มีความอิจฉาริษยาเพื่อนร่วมงาน ไม่อยากให้คนอื่นได้ดีกว่า จึงทำให้โครงการต่างๆไม่ประสบความสำเร็จ หรือประสบความสำเร็จได้ไม่ดีเ่ท่าที่ควร
แม้แต่ในโรงเรียน ก็มีความอิจฉาริษยา เด็กเรียนเก่งบางคน เวลาเพื่อนถามก็ไม่อธิบายเพื่อน หรืออธิบายแต่พอผ่านไป เพราะไม่อยากให้เพื่อนได้คะแนนมากกว่า
แล้วสังคมเราจะดีได้อย่างไร
จากประสบการณ์ที่ผมได้พบเห็นมา ความอิจฉาไม่ได้ทำให้ตัวเราดีขึ้น รังแต่จะนำความขุ่นข้องหมองใจมาให้ตัวเราเอง คนอื่นพอรู้พอเห็นเขาก็จะไม่ไว้วางใจเราหากเราเป็นคนขี้อิจฉา
หากคิดในมุมกลับกัน การที่เพื่อนๆเรา ญาติพี่น้องของเรา หรือคนในสังคมของเราดีขึ้น รวยขึ้น ประสบความสำเร็จมากขึ้น ก็ไม่ได้ทำให้ตัวเราแย่ลงจริงไหมครับ กลับทำให้สังคมของเราเองดีขึ้น และจะส่งผลดีกับตัวเรามากขึ้นในอนาคตด้วย
ผมอยากลองยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม สมมุติว่า เรามีเงินอยู่ 10 ล้านบาท ถ้าเราอยู่ในสังคมที่มีแต่คนจน ไม่มีเงินจะใช้สอย กับ เรามีเงินอยู่ 10 ล้านบาท แต่เราไปอยู่ในสังคมที่มีแต่คนรวยมากกว่าเรา มีเิงินเป็นร้อยเป็นพันล้าน ท่านว่าแบบไหนดีกว่า ผมคิดว่าอย่างหลังน่าจะดีกว่าจริงไหมครับ แล้วเราต้องไปอิจฉาคนที่มีเงินเป็นร้อยเป็นพันล้านหรือเป่ล่า
จริงๆครับ การที่เพื่อนเรา หรือคนรอบข้างเราดีขึ้น ประสบความสำเร็จมากขึ้น มีแต่จะช่วยให้ตัวเราดีขึ้น ช่วยให้สังคมน่าอยู่ขึ้น ไม่ได้ทำให้ตัวเราแย่ลง เช่นตัวอย่างของเด็กนักเรียน ถ้าทุกคนช่วยกันเรืียน ไม่หวงความรู้กัน ก็มีแต่จะช่วยให้เพื่อนๆที่เรียนด้วยกันได้รับความรู้มากขึ้นทุกคน แต่ถ้าทุกคนต่างหวงความรู้ ก็รังแต่จะทำให้ตัวเองรู้เท่าเดิม
คืนส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ได้ร่วมสวดมนต์ข้ามปี ต้อนรับปีใหม่ พ.ศ. 2554 เพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเองที่ สถาบันพลังจิตตานุภาพ สาขาภูเก็ต
มีความสุข อิ่มบุญ อิ่มใจกันทั่วหน้าครับ
การนอน เรื่องง่ายๆสำหรับคนทั่วไป แต่อาจเป็นปัญหาใหญ่สำหรับบางคนเพราะเขา”นอนไม่หลับ” ผมคิดว่าหลายๆคนก็อาจจะเคยนอนไม่หลับ แค่นอนไม่หลับคืนเดียวก็ทรมานแล้ว เช้าขึ้นระบบของร่างกายรวนหมดเลย เป็นอันทำงานทำการไม่ได้
ปัญหาการนอนไม่หลับเป็นปัญหาใหญ่มาก เพราะคนที่เป็นส่วนมาก ไม่ใช่นอนไม่หลับแค่คืนเดียว แต่นอนไม่หลับหลายๆคืน หรือทุกๆคืน ทำให้บั่นทอนทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ
หลังจากที่ผมได้เรียนเรื่องสมาธิ ก็ได้รู้ว่าการการนั่งสมาธิ และเดินจงกรมนั้นให้ประโยชน์หลายอย่าง รวมถึงช่วยเรื่องการนอนไม่หลับด้วย มีหลายๆคนที่เดิมหลับยาก หรือหลับไม่สนิท พอได้มาเรียนสมาธิแล้ว ก็ช่วยให้หลับง่าย และหลับลึกขึ้น
ตามหลักสูตรครูสมาธิของพระอาจารย์ หลวงพ่อ วิริยังค์ สิรินทโร ท่านอธิบายเกี่ยวกับการนอนไว้ว่า การนอนก็คือการทำสมาธิอย่างหนึ่ง เป็นการได้สมาธิโดยธรรมชาติ ที่เราไม่ได้นอนแล้วอยู่ไม่ได้ ก็เพราะเราขาดสมาธิ (ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ) นั่นเอง
แต่สำหรับคนที่ทำสมาธินั้น แม้จะนอนน้อยก็สามารถอยู่ได้ เพราะสมาธิที่สร้างขึ้นโดยการทำสมาธิ (เช่น การนั่งสมาธิ การเดินจงกรม) นั้นมีเพียงพอสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน
สำหรับตัวผมเอง การเรียนสมาธิ ทำให้ผมหลับสนิทและหลับลึกขึ้น ทำให้ความเพลียระหว่างวันลดลง เมื่อก่อน ผมมักจะง่วง และต้องแอบงีบตอนกลางวัน อย่างน้อยสักครึ่งชั่วโมง แต่หลังจากการเรียนสมาธิมา 2-3 เดือน ผมแทบไม่ต้องนอนกลางวันเลย จะมีบ้างเฉพาะวันที่นอนดึก
เมื่อวาน ผมยังได้คุยกับพี่จิ๊บ (นักศึกษาครูสมาธิ รุ่นที่ 26) พี่จิ๊บมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนไม่หลับมาประมาณ 4 ปี ถึงขนาดต้องหาหมอกินยา และหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคนอนไม่หลับ หรือ Insomnia พี่จิ๊บต้องทรมานกับโรคนอนไม่หลับอยู่หลายปี วิธีทางเดียวที่จะทำให้เธอนอนหลับได้ก็คือ “ยา” เริ่มกินยาทีละน้อย และก็ต้องเพิ่มขนาดขึ้น ทั้งๆที่รู้ว่ายาจะมีผลต่อสุขภาพในระยะยาว ก็จำเป็นต้องกิน เพราะได้ลองหลายวิธีเพื่อให้นอนหลับ แต่ก็ไม่เป็นผล
หลังจากที่พี่จิ๊บได้มาเรียนสมาธิในหลักสูตรครูสมาธิประมาณ 3 เดือน อาการนอนไม่หลับก็เริ่มดีขึ้น ลดการใช้ยาลง เหลือรับประทานยาเพียงแค่ครั้งละครึ่งเม็ด วิธีที่พี่จิ๊บใช้ช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับคือ การนั่งสมาธิก่อนนอน หลังจากพี่จิ๊บทำกิจวัตรประจำวันเสร็จ และพร้อมเข้าน้อนแล้ว พี่จิ๊บก็จะนั่งสมาธิก่อนนอนประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นก็นอนทันทีเลย วิธีนี้ทำแล้วได้ผล และทำให้พี่จิ๊บหลับได้ง่ายขึ้น
ตอนนี้ได้ทำสมาธิมาประมาณ 9 เดือนแล้ว หลังจากไปเดินธุดงค์ที่ดอยอินทนนท์กลับมา ก็นอนหลับได้เอง ไม่ต้องใช้ยาอีกเลย หมอก็บอกว่าหายแล้ว ยาที่เหลือก็ให้เก็บเผื่อไว้จนหมดอายุ แล้วค่อยทิ้งมันไป
ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีที่สมาธิช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างมาก