ถ้าเด็กไทยทุกคน ได้มีโอกาสได้รับประสบการณ์ แบบที่เขาสอนที่ Gymboree คงดีไม่น้อย พัฒนาการของเด็กไทยคงดีมากๆ เพราะเขาสอนด้วยการเล่น ให้เด็กได้เล่น สนุกสนาน แต่ก็สอดแทรกการเข้าสังคม การทำงานร่วมกัน การพัฒนาทั้งร่างกาย และจิตใจ
วันเสาร์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสพาลูกน้อยไปลองเรียนที่ Gymboree ที่เพิ่งเปิดที่เซ็นทรัลเฟสติวัลภูเก็ตเมื่อเร็วๆนี้ ที่สนใจให้ลูกไปลองเรียนที่ Gymboree ก็เพราะเพื่อนรักคนหนึ่งที่กรุงเทพฯ เขาเล่าให้ฟังว่า เขาส่งลูกไปเรียน เขาสอนดี เด็กมีความสุข พอได้เห็น Gymboree เปิดที่ภูเก็ต (อยู่ที่ EDU Zone ของ Central Festival ภูเก็ต) ก็เลยรีบลองไปดู
ตอนแรกที่ไปจองคิว ได้คุยกับครูผู้สอน ซึ่งเป็นเด็กจบใหม่ และไปฝึกการสอนกับ Gymboree ที่กรุงเทพฯ มาแค่ 4 เดือน ก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าเขาจะทำได้ดี เพราะผมคิดว่า ครูที่ไม่ได้จบด้านครูโดยตรง และผ่านการเรียนและฝึกสอนในระยะเวลาอันสั้น ไม่น่าจะทำหลักสูตรได้ดี แต่ครั้นได้ไปเห็นน้องเขาสอนเด็กๆในวันจริงแค่ไม่ถึง 1 นาที ก็รู้ตัวว่า ผมคิดผิด เพราะเขาสามารถนำเด็กๆทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว สนุกสนาน และเป็นธรรมชาติ และที่สำคัญ เขาต้องนำเด็กทำกิจกรรมด้วยภาษาอังกฤษ ซึ่งทำได้ดีมากๆในสายตาของผม ยอมรับครับว่า ครูเขามีคุณภาพจริงๆ
การทำกิจกรรมในวันนั้น มีหัวข้อคือ “Constructions” หรือ การก่อสร้าง (มีเวลา 45 นาที)
– โดยคุณครูจะเริ่มเตรียมความพร้อมเด็กๆ ด้วยการเปิดดนตรี ทักทาย เรียกชื่อ ตบมือ เคาะจังหวะ
– เมื่อเด็กๆเริ่มพร้อม ก็เริ่มการเล่านิทานสนุกๆ เกี่ยวกับการสร้างบ้านของหมีน้อย
– แล้วก็ให้เด็กๆเริ่มการสร้างบ้านด้วยการเลี่อยไม้
– จากนั้นก็สมมุติให้หลังคารั่ว แล้วก็เอาแผ่นกระเบื้องมามุงหลังคา
– ให้เด็กใช้แปลงเล็กๆทาสีต่างๆ
– มีการเรียงบล๊อกโฟม เหมือนการวางอิฐ
– จากนั้นให้เด็กสนุกสนานกับการให้ฮิบโปตัวน้อยกินลูกโป่งฟองสบู่
– ร้องเพลงจบการเรียน
– คุณครูให้รางวัลด้วยตราประทับบนมือ (เหมือนให้ดาวเด็กๆ)
สรุปแล้ว ผมประทับใจในหลักสูตรการสอน ครูผู้สอน ความใส่ใจแม้ในเรื่องเล็กน้อยของทีมงาน เรียกได้ว่าประทับใจมากๆ มีไม่ค่อยประทับใจอยู่อย่างเดียว คือ ราคาค่าเรียนแพงมาก แต่โดยความเห็นผมแล้ว ถ้าพ่อแม่คนไหนพอมีกำลังก็น่าให้ลูกไปเรียนครับ
ผมเป็นคนขี้ลืมจริงๆครับ ไม่รู้ใครมีวิธีแก้หรือเปล่า ตอนนี้เหมือนกับจะอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ หลายๆคนก็บอกว่าตัวเองขี้ลืม แต่ก็อาจจะไม่หนักเท่าผมมั้งครับ
รู้ตัวตอนแรกๆ ก็เริ่มจากการที่จำหน้าเพื่อน หรือจำชื่อเพื่อนไม่ได้ จำไม่ได้จริงๆครับ เพื่อนบางคนต้องมาอธิบายให้ฟังว่าเจอกันตอนไหน รู้จักกันอย่างไร
แล้วอาการก็หนักขึ้นเรื่อยๆ มีอยู่วันหนึ่ง อยู่ดีๆภรรยาก็มาบอกว่า แปรงสีฟันของเธอสีเขียว ไม่ใช่สีฟ้า อืม! เอาแปรงสีฟันผิดอันไปแปลงฟัน จำสีไม่ได้
เดือนก่อน กลัวลืมวันเกิดแม่ อุตส่าห์เม็มไว้ในมือถือ จะได้แฮบปี้เบิร์ทเดย์ตรงวัน กะจะเซอร์ไพรส์แม่ แม่เซอร์ไพรส์กลับ ด้วยการตอบมาว่า “ขอบใจนะลูก ที่แฮบปี้เบิร์ทเดย์ย้อนหลัง แม่ไม่ถือ” อ้าวเรา ขนานเมมไว้แล้ว ก็ยังจำผิดวัน เม็มผิดวัน
อาทิตย์ที่แล้ว มีคนมาสมัครงานที่บริษัท พอดีกำลังเคลียร์งานบนคอมพิวเตอร์อยู่ ก็บอกให้เขารอแป๊บหนึ่ง รู้ตัวอีกทีก็ตอนค่ำ เพิ่งคิดได้ว่าบอกให้คนนั้งรอสมัครงาน ด้วยความงงในตัวเองมากครับ และไม่รู้ว่าน้องคนนั้นกลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
จริงๆที่เขียนนี่ก็เพราะรู้สึกผิดต่อน้องคนนั้นมากๆจริงๆครับ ไม่รู้ชื่อ จำหน้าก็ไม่ได้ ก็ขอโทษไว้ตรงนี้แล้วกันครับ
ตอนนี้เวลามีอะไร จะต้องจดหมดเลย ไม่งั้นจะจำไม่ค่อยได้ มีใครเป็นแบบนี้บ้าง มีทางแก้หรือเปล่านี่