วัตถุประสงค์การทำสมาธิ คือ การสะสมพลังจิต
การทำสมาธิมีวัตถุประสงค์ คือ การสะสมพลังจิต เป็นสิ่งที่พระอาจารย์หลวงพ่อ วิริยังค์ สิรินฺธโร เน้นย้ำให้นักศึกษาในหลักสูตรครูสมาธิทุกคนได้รู้ และเข้าใจวัตถุประสงค์จริงๆของการทำสมาธิตั้งแต่การเริ่มเรียนในบทแรก
เมื่อก่อนเราอาจจะคิด เราทำสมาธิเพื่อให้เกิดความสงบ เราทำสมาธิเพื่อให้เกิดความสุข แต่พระอาจารย์หลวงพ่อ วิริยังค์ สิรินฺธโร ท่านได้บรรยายให้กับนักศึกษาครูสมาธิทุกคนได้รู้ว่า เมื่อเราทำสมาธิ สิ่งที่เราจะได้คือ พลังจิต แล้วพลังจิตนี้แหละที่เป็นส่วนที่ทำให้เกิด ความสุข ความสงบ เกิดปัญญา และทำให้ใจเรามีกำลังมากพอที่จะทำอะไรหลายอย่างได้
พลังจิตที่แท้คือ กำลังใจ
หลายท่านพอเห็นคำว่า “พลังจิต” ก็อาจตกใจ คิดว่าเป็นสิ่งพิเศษหรืออะไรที่เหนือธรรมชาติ จริงๆแล้ว “พลัง” ก็คือ กำลัง ส่วน “จิต” ก็คือใจของเรานั่นเอง เพราะฉะนั้นพลัวจิตก็คือกำลังของใจของเรา ผู้ที่มีพลังจิตก็คือผู้ที่มีใจที่มีกำลัง
ถ้าเราเปรียบเทียบกับการรับประทานอาหาร เราจะเห็นภาพชัดเจนขึ้น การที่เรารับประทานอาหาร สิ่งที่เราต้องการคือ สารอาหาร เช่น โปรตีน วิตตามิน แร่ธาตุ ที่อยู่ในอาหารนั้นเพื่อมาหล่อเลี้ยงร่างกายของเรา เราคงไม่ได้รับประทานอาหารเพราะต้องการความอร่อย ความอร่อยคือผลพลอยได้เท่านั้น เราเปรียบความอร่อยเหมือนกับความสุขที่ได้จากการทำสมาธิ เปรียบสารอาหารเหมือนกับพลังจิตซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการจริงๆจากการทำสมาธิ
“วันนี้คุณนั่งสมาธิแล้วหรือยัง” เป็นคำถามที่บางครั้งเราฟังแล้วก็ผ่านไป
มันสำคัญจริงๆหรือกับการนั่งสมาธิทุกวัน … สำคัญจริงๆครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้บริหาร ผู้เป็นหัวหน้างาน ผู้ที่ทำงานจิตอาสาเพื่อส่วนรวม
ถ้าเปรียบเทียบกับการรับประทานอาหาร คงเห็นชัดว่าการทานอาหารเพื่อมาหล่อเลี้ยงกายของเราเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำทุกวัน การทำสมาธิเพื่อให้มีกำลังใจมาหล่อเลี้ยงใจของเราก็มีความจำเป็นไม่แพ้กัน เราลองนึกภาพคนที่ทำงานเพลินจนลืมทานข้าว ถามว่าเป็นอะไรไหม ก็คงไม่เป็นอะไร นึกได้ก็ทาน แต่ถ้าเป็นอย่างนี้หลายๆครั้งก็จะเริ่มปวดท้อง เป็นโรคกระเพาะได้ การขาดการทำสมาธิก็เช่นเดียวกัน หากขาดน้อยๆก็คงไม่เป็นไร แต่สำหรับผู้ต้องรับผิดชอบสูง ต้องบริหารงานมากๆ หากขาดการทำสมาธิระดับพลังจิตหรือกำลังใจของเราก็ลดต่ำลงได้ พอมีเหตุอะไรมากระทบ ก็ทำให้เรากระเทือนได้โดยง่าย
สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่เราได้มาพร้อมๆกับการทำสมาธิคือความสุข (หรือ ฌาน) ระดับความสุขในตัวเรามีผลต่อการทำงานของเราอย่างมาก เราลองนึกถึงวันที่เรามีความสุขมากๆ สบายใจมากๆ วันนั้นเราทำงานด้วยความสบายใจ ปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ได้โดยง่าย เพราะขนาดของปัญหามันดูเล็กถ้าเทียบกับความสุขที่เรามี แต่ในทางกลับกัน ถ้าวันไหนที่เรามีความทุกข์ หงุดหงิดมาทำงาน มีอะไรมากระทบเล็กน้อย ก็ทำให้เราย่ำแย่ได้แล้ว
สิ่งหนึ่งที่มีอยู่ประจำในตัวของเราทุกคนก็คือ “โมหะ” ตัวโมหะนี้จะไม่แสดงเดชหากระดับความสุขหรือฌานในตัวเรามีมากพอ แต่วันใดที่เราต้องใช้พลังจิตในการทำงานไปมากๆ และขาดการทำสมาธิ ระดับกำลังใจในตัวเราก็เหลือน้อย เป็นโอกาสที่ตัวโมหะตัวนี้จะขยายตัวและก่อความเสียหายให้กับเรา โมหะมันก่อความเสียหายให้กับเราโดยไม่รู้ตัว เช่น บางครั้งเรื่องเล็กๆเท่าปลายเข็ม แต่มันสะกิดใจเรา เราก็ไปขยายมันให้ปัญหาใหญ่เท่าช้าง เกิดความเสียหายใหญ่โต และตัวเรานี่แหละต้องกลับมาเป็นผู้แก้ปัญหานั้นเอง
โมหะตัวนี้และที่ทำให้ใจเราหม่นหมอง ทำให้ใจเราหดหู่ ไม่อยากทำงาน มองโลกในแง่ร้าย และหมดกำลังใจในที่สุด
ถึงเวลาของผู้ชนะแล้ว … วันนี้ คุณนั่งสมาธิแล้วหรือยัง
by.. หยดน้ำ
ดี-ชั่ว รู้หมด แต่อดไม่ได้
รู้ถูก-รู้ผิด แต่จิตถลำ
รู้ทุกข์-รู้โทษ แต่ถูกครอบงำ
รู้นรก-รู้สวรรค์ แต่ยังฝืนใจ
ถ้าไม่มีพลังจิต หรือกำลังใจเพียงพอ ยากที่จะแก้ปัญหาได้
ต่อให้เป็นคนที่ฝึกจิตมา ก็ใช่ว่าจะชนะกิเลส หรือแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง
เหมือนศิลาทับหญ้า เมื่อไหร่ศิลาอ่อนกำลัง หญ้าก็เจริญงอกงาม
หน้าที่ของเราคือฝึกจิตต่อไป เร่งความเพียร
วันนี้ คุณนั่งสมาธิหรือยัง !!
เรี่ยวแรงฉันยังเหลือยังมี
ใจซิมีไม่พอ ..
หากเคยรู้สึกอย่างนี้ ลองเติมกำลังใจด้วยสมาธิไหมครับ ใจเรา เราต้องรักษาเอง ไม่มีใครทำหน้าที่นี้ได้ดีเท่าตัวเราเอง
+ เดินจงกรม ช่วยผ่อนปัญหาหนักทุกเรื่อง ให้เป็นเบาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
+ นั่งสมาธิ ช่วยเสริมกำลังใจให้เข้มแข็ง แข็งแกร่ง สงบ และมั่นคงยิ่งขึ้น
หากถามว่า “นั่งสมาธิเพื่ออะไร” หลายๆคนมักตอบว่า เพื่อความสงบ เพื่อความสุข เพื่อให้สบายใจ
จริงๆแล้วคำตอบทั้งหลายเป็นผลที่เกิดจากสิ่งที่ได้จากการนั่งสมาธิ คือ พลังจิต หรือ กำลังใจ ของเรานั่นเอง
พลังจิต หรือ กำลังใจของเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่เราอาจไม่รู้จักมันดีพอ หรือยังไม่ให้ความสำคัญกับมันมากพอ หลายๆเรื่องเป็นสิ่งที่เรารู้ แต่ถ้าใจของเราไม่มีกำลังพอ เราก็ทำไม่ได้ หรือไม่ประสบความสำเร็จ เช่น ทุกคนต่างรู้ว่าอะไรทุกข์ อะไรสุข ต่างก็รู้ดี แต่เคยถามตัวเองไหมครับว่า ทำไมเราไม่สามารถจะโยนทุกข์ทิ้งไปแล้วเก็บแต่สุขเอาไว้ ทุกคนต่างรู้ว่าศีล 5 ข้อมีอะไรบ้าง ท่องได้แม่น และรู้ว่าถ้าทำได้ก็ดี แต่เราก็มักจะทำกันไม่ได้..เพราะอะไร
คำตอบคือ ใจของเราไม่มีกำลังพอ เราอาจจะรู้ รู้ดีด้วย แต่หากใจเราไม่มีกำลังพอ เราก็ไม่สามารถโยนทุกข์ทิ้งไปจากใจได้ หรือ เราอาจไม่สามารถห้ามใจเราทำสิ่งไม่ดีบางอย่างได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เราไม่รู้ แต่เป็นเพราะใจไม่มีกำลัง
การนั่งสมาธิ การเดินจงกรม เป็นการเพิ่มพลังจิต หรือกำลังใจของเรา เมื่อเรามีพลังจิต เราก็จะมีสติ รอบคอบขึ้น มีเหตุผลมากขึ้น มีเมตตามากขึ้น เมื่อใจมีกำลังพอ เราก็สามารถหยุดความทุกข์ได้ หยุดการกระทำที่ไม่ดีได้ และมีความสุขเพิ่มขึ้น
ถ้าจะเปรียบเทียบ เราอาจจะดูคนยกกระสอบข้าวสาร เรารู้วิธียก ว่ายกอย่างไร แต่ถ้ากำลังของร่างกายไม่พอ เราก็ยกไม่ได้ เรื่อของใจก็เหมือนกันครับ