ถึงวันนี้ก็เป็นเวลาประมาณ 1 ปี ที่ผมได้เรียนสมาธิ ฝึกการนั่งสมาธิ เดินจงกรมอย่างเป็นระบบ การเรียนที่เริ่มต้นเพียงแค่อยากรู้ ผมเข้าสมัครเรียนสมาธิกับ สถาบันพลังจิตตานุภาพ สาขาภูเก็ต ด้วยเหตุผมส่วนตัว 2-3 ข้อ
1. อยากรู้ – ผมคิดว่าการเรียนสมาธิก็เหมือนไปลงทะเบียนเรียนวิชาหนึ่งเพราะแค่อยากรู้ เมื่อได้เรียนแล้ว ก็ได้รู้ว่ามันเป็นเคล็ดวิชาการบริหารคือเป็นวิชาบริหารใจ ผมเป็นคนที่ชอบศึกษาหาความรู้อยู่แล้ว แต่ขี้เกียจ ไม่ค่อยชอบอ่าน เลยอาศัยไปเข้าอบรมตามที่ต่างๆ เพราะผมมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า “การที่เราจะแก้ปัญหาอะไรได้ เราต้องมีความรู้ใหญ่กว่าปัญหานั้น”
2. สงสัย – ผมเคยคิดในใจว่า คนเราเวลาอายุมากขึ้น หลายคนก็หันเข้าวัดเข้าวา ศึกษาธรรมะมากขึ้น ถ้ามันดี ถ้าวันหนึ่งเวลาอายุมากเราต้องมาศึกษา ทำไมเราไม่ศึกษาวันนี้ซะเลย ถ้ามันดีเราก็ได้รู้ก่อนคนอื่น และไม่เสียเวลาของตัวเอง
หลังจากที่ได้เรียน หลายคนก็สงสัย “เธอมีความทุกข์ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า จึงไปเรียนสมาธิ” จริงๆแล้วผมไม่ได้มีความทุกข์อะไรครับ และได้อ่านหนังสือหลายเล่มที่คนเขียนเจอวิกฤตชีวิต แล้วจึงเข้าหาธรรมะ หลายคนโชคดี หลุดพ้นปัญหามาได้ แต่หลายคนไม่ได้โชคดีเช่นนั้น ผมอยากให้ข้อคิดอันหนึ่ง “เวลาที่เราจะจมน้ำ ไม่ใช่เวลาที่จะมาหัดว่ายน้ำ” ในวันที่เรามีปัญหาจริงๆ วันนั้นใจของเราอาจจะมืดมนจนหาทางออกไม่ได้ก็เป็นไปได้ เพราะฉะนั้น เราควรมาเริ่มทำใจของเราให้แข็งแรง และสดใสดีกว่า
ผมอยากแบ่งปันให้เพื่อนๆรับรู้ถึงประสบการณ์ในการเรียนสมาธิ ที่ทำให้ชีวิตผมดีขึ้นมาก และในเมื่อการเรียนสมาธิทำให้ผมดีขึ้น ก็น่าจะทำให้เพื่อนๆที่เรียนทุกคนดีขึ้นได้เช่นกัน สิ่งที่ผมได้จากการเรียนสมาธิ เช่น
– การบริหาใจ การเรียนสมาธิทำให้เรามีสติมากขึ้น สตินั้นทำให้เราเข้าใจตัวเองและผู้อื่นมากขึ้น พอเราเข้าใจทั้งตัวเองและผู้อื่น ชีวิตเราก็มีความสุขมากขึ้น
– สุขภาพกายและใจดีขึ้น หลังจากที่ผมเรียนสมาธิได้ระยะหนึ่ง ผมก็ นั่งสมาธิ เดินจงกรม ทุกวัน ทำให้ผมได้ทั้งออกกำลังกาย และการพักผ่อนไปในตัว จึงทำให้ผมมีสุขภาพกายและใจดีขึ้น
– อารมณ์ดีขึ้น คนที่เคยเป็นเสือยิ้มยากอย่างผม รู้สึกตัวเองว่ามีความสุขมากขึ้นอย่างชัดเจน เรารู้สึกตัวเองว่าเรายิ้มง่ายขึ้นจากเดิมมาก
– มีสติมากขึ้น ข้อนี้ผมคิดว่าสำคัญมาก คนหลายๆคนพลาดพลั้งในชีวิต มิใช่เพราะไม่รู้ แต่เพราะขาดสติไปชั่วคราวแค่นั้นเอง เราทุกคนรู้ถูกผิดดีชั่ว แต่บางครั้งพลาดพลั้งเพราะขาดสติ แล้วก็ต้องมาเสียใจทีหลัง การเรียนสมาธิ นั่งสมาธิ เดินจงกรม ช่วยให้ผมมีสติมากขึ้นอย่างชัดเจน เวลาโกรธก็รู้ว่าตัวเองกำลังโกรธ หลังจากนั้นก็โกรธน้อยลง (ผมยังไม่สามารถทำให้ตัวเองไม่โกรธเลย แต่ก็รู้ตัวว่าเราโกรธยากขึ้นมาก และถ้าโกรธมันก็หายไปเร็วกว่าเดิมมาก)
– มีประโชน์อีกมากมายที่ได้จากการเรียนสมาธิ ซึ่งนำมาเขียนเท่าไหร่ก็คงไม่หมด
สถาบันพลังจิตตานุภาพ จะเปิดรับนักศึกษาครูสมาธิ ปีละ 2 ครั้ง คือ ประมาณเดีอนกุมภาพันธ์ และ เดือนสิงหาคมของทุกปี ตอนนี้ก็เป็นโอกาสดีครับ เป็นช่วงที่กำลังรับสมัครอยู่พอดี ขอเชิญเพื่อนๆที่สนใจสมัครได้ที่ สถาบันพลังจิตตานุภาพ ทั่วประเทศครับ
วันนี้ผมมีเรื่องดีๆ มีประโยชน์สำหรับทุกท่านมาฝากครับ…
การทำสมาธินั้นมีประโยชน์อย่างมากมายสำหรับผู้ปฏิบัติ ทำให้เรามีสติ รู้ตัว ใจเย็น ลดอารมณ์ที่วุ่นวาย เป็นการพักผ่อน และประโยชน์อีกมากมาย การทำสมาธิเป็นการออกกำลังใจซึ่งทำให้จิตใจแข็งแรง เหมือนการออกกำลังกายซึ่งทำให้ร่างกายแข็งแรง
แต่ปัญหาก็คือ เรารู้ว่าดี แต่ไม่ได้ปฏิบัติ หรือไม่มีเวลาปฏิบัติ เหมือนรู้ว่าต้องออกกำลังกาย ออกกำลังกายแล้วดี แต่ก็ไม่ได้ทำ พระอาจารย์หลวงพ่อ วิริยังค์ สิรินธโร จึงคิดวิธีการทำสมาธิแบบง่าย แต่ง่ายแล้วได้ผลมาก เพื่อให้เราทุกคนมีโอกาสได้ทำสมาธิกันอย่างสม่ำเสมอ
อยากให้ทุกท่านลองปฏิบัติดู ง่ายๆ รับรองว่าเห็นผล แต่แน่นอน การที่เรามีร่างกายแข็งแรง เราก็ต้องค่อยๆทำ ค่อยๆฝึก การทำสมาธิเพื่อให้ใจมีกำลังก็เช่นกัน ไม่ได้เห็นผลเพียงแค่ข้ามคืน จากประสบการณ์ของผม ผู้ที่ทำสมาธิ 2-3 เดือน ก็จะรู้สึกได้กับผลดีที่เกิดขึ้นกับตัวเองแล้ว
วิทิสาสมาธิ
วิทิสาสมาธิ คือ การปฏิบัติสมาธิของบุคคลทั่วไปอย่างง่ายที่สุด ทั้งบุคคลที่เคย และไม่เคยทำสมาธิมาก่อน เป็นการสะสมพลังจิตให้แก่ผู้ปฎิบัติ ที่สามารถทำได้ในทุกสถานที่ ทุกโอกาสตามความเหมาะสม
วิธีปฏิบัติ
ให้ปฏิบัติทุกวัน วันละ 3 ครั้ง (เช้า-กลางวัน-เย็น) ครั้งละ 5 นาที ณ สถานที่ใดๆก็ได้ ไม่มีคนพลุกพล่าน ในลักษณะอิริยาบถนั่งจะเหมาะสมที่สุด โดยการบริกรม พุทโธ พุทโธ พุทโธ ตลอดเวลา 5 นาที หรือมากกว่า
ผลที่ได้รับ
การกำหนดจิตให้สงบเป็นสมาธิได้ วันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 5 นาที ก็เท่ากับวันละ 15 นาทีนั้น เมื่อรวมกัน 30 วัน (1 เดือน) ก็จะได้สมาธิ 450 นาที หรือ 7.5 ชั่วโมง ซึ่งการทำจิตให้สงบเป็นสมาธิได้ไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อเดือนนั้น จิตจะมีพลังหรือเรียกว่า เป็นผู้มีพลังจิตเพียงพอแก่การควบคุมจิตใจ มิให้เกิดความหวั่นไหว เกิดความเครียด เกิดความวุ่นวาย ในทางตรงข้าม จะเป็นผู้มีความเบิกบาน มีสติ มีปัญญา มีหลักประพฤติดีงาม อันส่งผลให้เกิดความสงบสุข ทั้งแก่ตนเองและสังคม
ถ้าจะพูดว่าสมาธิเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต หลายๆท่านคงจะเห็นด้วย แต่อาจมีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าไม่จริง และอาจไม่ตระหนักถึงความสำคัญของสมาธิ เพราะอาจคิดว่า ที่ฉันมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่เคยนั่งสมาธิ ไม่เคยเดินจงกรม ก็สามารถอยู่ได้ ไม่เห็นจะเป็นอะไร เมื่อก่อนผมก็คิดแบบนั้นครับ (ก่อนที่ผมจะได้มาเรียนสมาธิ)
ผมอยากยกตัวอย่างง่ายๆอันหนึ่ง ผมอยากเปรียบเทียบการทำสมาธิ เหมือนกับการออกกำลังกาย การออกกำลังกายก็เพื่อให้กายแข็งแรง การทำสมาธิก็เพื่อให้จิตหรือใจของเราแข็งแรงเช่นกัน
ถ้าเราไม่ได้ออกกำลังกาย ร่างกายของเราก็จะอ่อนแอ และค่อยๆเสื่อมทีละเล็กทีละน้อย แต่เราก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ เพราะความเสื่อมนั้นค่อยๆสะสม และยังไม่ได้แสดงอาการ แต่หากปล่อยปะละเลยให้นานวันเข้า ร่างกายที่เป็นสิ่งวิเศษและแข็งแรงของเราก็เริ่มที่จะไม่ไหว อาจจะเริ่มแสดงอาการโดยการที่เป็นหวัดบ่อยขึ้น เริ่มปวด เริ่มเมื่อย และโรคของความเสื่อมต่างๆก็ตามมา บางครั้งอาจรุนแรงกว่าที่เราจะคาดถึง
จิตใจเราก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้ออกกำลังจิต พลังของมันก็จะลดน้อยถอยลง แสดงถึงอาการมากมาย (ซึ่งบางครั้งเราอาจคิดไม่ถึง) เช่น การนอนไม่หลับ โกรธง่าย โมโหร้าย อ่อนไหวง่าย คุมสติตัวเองไม่อยู่ ยั้งอารมณ์ไม่ได้ ทำไปแล้วค่อยมาเสียใจทีหลัง อาการอย่างนี้ทุกคนคงเห็นด้วยว่าเป็นเพราะขาดสติ หรือขาดสมาธิ ผู้อ่านหลายท่านก็อาจมีประสบการณ์ใช่ไหมครับ ผมก็เคยเป็นเช่นกัน
ผมเองเคยเป็นคนที่ทำงานหนักมาก ทำแบบไม่สงสารตัวเอง เพราะคิดว่าตอนนี้ยังมีแรง ขอให้ลำบากเสียตั้งแต่ตอนนี้ ต่อไปจะได้สบาย จึงโหมทำงานหนักโดยไม่ได้สงสารร่างกาย ไม่ได้พักผ่อน ไม่ได้ออกกำลังกาย ไม่ดูแลตัวเอง ผลก็คือ ตัวเองต้องมาเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท โรคฮิตในผู้สูงอายุ แต่ผมเองกลับมาเป็นโรคนี้ตอนอายุแค่ 30 ต้นๆ
พอตัวเราทำงานมาก ก็คอยแต่สะสมความเครียดเอาไว้ ยิ้มก็ไม่เป็น มีแต่ความกังวลอยู่ในหัว ไม่ยอมปล่อยวาง รู้สึกว่าบางครั้งตัวเองหงุดหงิดง่ายขึ้น ทั้งๆที่บางครั้งเป็นเรื่องเล็กน้อย และรู้สึกตัวเองว่าความโกรธของเราในบางครั้งนั้นรุนแรง อาจจะเป็นเพราะการสะสมความเครียดเป็นระยะเวลานานๆก็ได้
หลังจากที่ป่วยเป็น โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ก็ทำให้รู้ตัว สำนึกได้ ว่าชีวิตเรานั้นต้องการสมดุล ไม่ใช่มุ่งแต่ทำอะไรมากจนเกินไปแต่อย่างเดียว ก็แบ่งเวลาพักผ่อน และออกกำลังกายมากขึ้น ร่างกายก็ดีขึ้นตามลำดับ
หลังจากได้เรียนสมาธิ ก็รู้สึกว่าใจของตัวเองสบายขึ้น โกรธน้อยลง หายโกรธเร็วขึ้น เรามีสติมากขึ้น หลับง่ายขึ้น (ทั้งๆที่ตัวเองหลับง่ายอยู่แล้ว) ยิ้มง่ายขึ้น (ปกติจะเป็นเสือยิ้มยาก) ให้อภัยคนอื่นมากขึ้น รู้ใจตัวเอง และคิดถึงใจคนอื่นมากขึ้น มีข้อดีที่ลึกซึ้งมากมายที่ผมได้รับจากการเรียนสมาธิ
เป็นความรู้สึกจริงๆครับว่าร่างกายของเรามีพลังขึ้น หลังจากได้นั่งสมาธิ และเดินจงกรมทุกเช้า
จากการแนะนำของอาจาย์ที่สอนสมาธิ ให้ลองนั่งสมาธิ เดินจงกรมตอนเช้ามืด ผมชนะใจตัวเอง ตื่นเช้าได้ (ทั้งๆที่คิดมาตลอดชีวิตว่าเป็นเรื่องยากมากสำหรับเรา) ลองนั่งสมาธิ และเดินจงกรมตอนตี 4 เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2553 ตอนนี้ผมก็ทำสมาธิตอนเช้ามืดต่อเนื่องมาได้หลายวันแล้ว (ยกเว้นคืนวันปีหม่วันเดียว)
ความรู้สึกแปลกอย่างหนึ่งคือ ตอนแรกคิดว่าตัวเองจะง่วงนอนระหว่างวันเพราะต้องตื่นเช้า แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ตอนนี้รู้สึกว่า่ร่างกายของเรามีพลังมากขึ้น เหมือนกับแบตเตอรี่ที่ได้รับการชาร์จไฟเข้าไปใหม่
วันแรกๆของการทำสมาธิตอนเช้า รู้สึกตัวเองมึนๆบ้าง แต่เหมือนมีพลังลึกๆ แบบบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะตัวเรากังวลไปเองว่า เราต้องง่วงแน่ๆ แต่ก็ไม่ต้องนอนระหว่างวันเลยครับ
ตอนนี้หลังทำสมาธิตอนเช้า บางครั้งหากยังเช้ามาก ก็อ่านหนังสือ หรือนอนต่อแป๊บหนึ่ง แต่หลังจากตื่นแล้ัว จะรู้สึกสดชื่นมาก เหมือนตื่นจากข้างใน ไม่ใช่ตาตื่น แต่ตัวไม่อยากตื่นเหมือนที่เคยเป็น
อยากเชิญชวนให้ผู้อ่านลองทำสมาธิดูครับ ไม่น่าเชื่อ ว่าการเดิน หรือนั่ง โดยการทำใจเราให้นิ่ง สงบ กำจัดอารมณ์ต่างๆทิ้่งไป จะมีผลดีกับชีวิตเรามากขนาดนี้
การนอน เรื่องง่ายๆสำหรับคนทั่วไป แต่อาจเป็นปัญหาใหญ่สำหรับบางคนเพราะเขา”นอนไม่หลับ” ผมคิดว่าหลายๆคนก็อาจจะเคยนอนไม่หลับ แค่นอนไม่หลับคืนเดียวก็ทรมานแล้ว เช้าขึ้นระบบของร่างกายรวนหมดเลย เป็นอันทำงานทำการไม่ได้
ปัญหาการนอนไม่หลับเป็นปัญหาใหญ่มาก เพราะคนที่เป็นส่วนมาก ไม่ใช่นอนไม่หลับแค่คืนเดียว แต่นอนไม่หลับหลายๆคืน หรือทุกๆคืน ทำให้บั่นทอนทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ
หลังจากที่ผมได้เรียนเรื่องสมาธิ ก็ได้รู้ว่าการการนั่งสมาธิ และเดินจงกรมนั้นให้ประโยชน์หลายอย่าง รวมถึงช่วยเรื่องการนอนไม่หลับด้วย มีหลายๆคนที่เดิมหลับยาก หรือหลับไม่สนิท พอได้มาเรียนสมาธิแล้ว ก็ช่วยให้หลับง่าย และหลับลึกขึ้น
ตามหลักสูตรครูสมาธิของพระอาจารย์ หลวงพ่อ วิริยังค์ สิรินทโร ท่านอธิบายเกี่ยวกับการนอนไว้ว่า การนอนก็คือการทำสมาธิอย่างหนึ่ง เป็นการได้สมาธิโดยธรรมชาติ ที่เราไม่ได้นอนแล้วอยู่ไม่ได้ ก็เพราะเราขาดสมาธิ (ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ) นั่นเอง
แต่สำหรับคนที่ทำสมาธินั้น แม้จะนอนน้อยก็สามารถอยู่ได้ เพราะสมาธิที่สร้างขึ้นโดยการทำสมาธิ (เช่น การนั่งสมาธิ การเดินจงกรม) นั้นมีเพียงพอสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน
สำหรับตัวผมเอง การเรียนสมาธิ ทำให้ผมหลับสนิทและหลับลึกขึ้น ทำให้ความเพลียระหว่างวันลดลง เมื่อก่อน ผมมักจะง่วง และต้องแอบงีบตอนกลางวัน อย่างน้อยสักครึ่งชั่วโมง แต่หลังจากการเรียนสมาธิมา 2-3 เดือน ผมแทบไม่ต้องนอนกลางวันเลย จะมีบ้างเฉพาะวันที่นอนดึก
เมื่อวาน ผมยังได้คุยกับพี่จิ๊บ (นักศึกษาครูสมาธิ รุ่นที่ 26) พี่จิ๊บมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนไม่หลับมาประมาณ 4 ปี ถึงขนาดต้องหาหมอกินยา และหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคนอนไม่หลับ หรือ Insomnia พี่จิ๊บต้องทรมานกับโรคนอนไม่หลับอยู่หลายปี วิธีทางเดียวที่จะทำให้เธอนอนหลับได้ก็คือ “ยา” เริ่มกินยาทีละน้อย และก็ต้องเพิ่มขนาดขึ้น ทั้งๆที่รู้ว่ายาจะมีผลต่อสุขภาพในระยะยาว ก็จำเป็นต้องกิน เพราะได้ลองหลายวิธีเพื่อให้นอนหลับ แต่ก็ไม่เป็นผล
หลังจากที่พี่จิ๊บได้มาเรียนสมาธิในหลักสูตรครูสมาธิประมาณ 3 เดือน อาการนอนไม่หลับก็เริ่มดีขึ้น ลดการใช้ยาลง เหลือรับประทานยาเพียงแค่ครั้งละครึ่งเม็ด วิธีที่พี่จิ๊บใช้ช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับคือ การนั่งสมาธิก่อนนอน หลังจากพี่จิ๊บทำกิจวัตรประจำวันเสร็จ และพร้อมเข้าน้อนแล้ว พี่จิ๊บก็จะนั่งสมาธิก่อนนอนประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นก็นอนทันทีเลย วิธีนี้ทำแล้วได้ผล และทำให้พี่จิ๊บหลับได้ง่ายขึ้น
ตอนนี้ได้ทำสมาธิมาประมาณ 9 เดือนแล้ว หลังจากไปเดินธุดงค์ที่ดอยอินทนนท์กลับมา ก็นอนหลับได้เอง ไม่ต้องใช้ยาอีกเลย หมอก็บอกว่าหายแล้ว ยาที่เหลือก็ให้เก็บเผื่อไว้จนหมดอายุ แล้วค่อยทิ้งมันไป
ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีที่สมาธิช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างมาก
เมื่อวานเป็นวันที่เรียน หลักสูตรครูสมาธิ ภาคทฤษฎีเป็นวันสุดท้าย อาจารย์ที่สอนคือ อาจารย์ ชิราวุธ กรจรุงเกียรติ ได้สอนว่า ช่วงเวลาที่จะนั่งสมาธิ แล้วได้ผลดี ตามที่ของหลวงพ่อ วิริยังค์ สิรินธโร คือ ช่วงเวลา ตี 4 – ตี 5 เพราะป็นช่วงเวลาที่สงบ เงียบ เป็นช่วงเวลาที่คนและสัตว์ทั่วไปยังไม่ตื่น มีสิ่งรบกวนต่างๆน้อย จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการทำสมาธิ
พระอาจารย์ยังกล่าวไว้ว่า ช่วงเวลา ตี 4 – ตี 5 เป็นเวลาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงใช้ตรวจดูสัตว์โลก หรือบุคคลที่ควรจะได้รับคุณธรรม หรือผู้มีวาสนาที่สมควรได้สำเร็จมรรคผล
จริงๆแล้วอาจารย์ที่สอนในหลักสูตรครูสมาธิหลายท่านก็เคยแนะนำให้ตื่เช้ามานั่งสมาธิ แต่ด้วยความขี้เกียจ และไม่คิดว่าตัวเองจะตื่นเช้าไหว ก็เลยไม่เคยคิดจะทำเลย (สำหรับบางคน รวมทั้งผม เรื่องตื่นเช้าเป็นเรื่องที่ยากมาก จริงไหมครับ) แต่เมื่อวาน จะเพราะอะไรก็ไม่รู้ อาจารย์ ชิราวุธ กรจรุงเกียรติ ได้ชวนนักศึกษาครูสมาธิในห้องหลายครั้งให้ลองตื่นเช้านั่งสมาธิดู ครั้งแรกๆผมก็ไม่ยกมือหรอกครับ ก็ยังคิดว่าตัวเองคงทำไม่ได้ และคิดว่าไม่จำเป็น แต่อาจารย์ก็ได้พูดถึงประโยชน์หลายอย่าง จนผมตัดสินใจ เป็นไงเป็นการ ถ้าเราจะปรับตัวเพื่อทำสิ่งที่ดี ก็ควรลอง พออาจารย์ถามรอบสุดท้าย ว่าใครจะลองนั่งสมาธิตอนตี 4 บ้าง ก็มีคนยกมือเพิ่มขึ้นหลายคน
หลังจากที่ยกมือ ผมก็ตั้งนาฬิกาปลุกที่มือถือเลยครับ ปกติถ้าผมรับปากว่าจะทำอะไรแล้ว ก็ต้องพยายามทำให้ได้ ไม่อยากผิดสัญญากับอาจารย์ ก็เลยตั้งนาฬิกาปลุกทันที แต่ตั้งปลุกตอน 04.30 น. นะครับ ไม่ใช่ตี 4
เมื่อคืนก็นอนเร็วหน่อย ประมาณ 4 ทุ่มก็หลับแล้ว ก่อนนอนก็ตั้งจิตสัญญากับตัวเองไว้ว่าเราจะตื่นมาทำสมาธิ ไม่น่าเชื่อครับ ผมตื่นได้เองก่อนนาฬิกาปลุก คือตื่นตอนตี 4
หลังจากตื่นก็เข้าห้องน้ำแล้วมานั่งสมาธิเลย สิ่งที่รู้สึกแตกต่างจากทุกครั้งคือ นั่งสมาธิแล้วรู้สึกเบา โล่งสบายกว่าทุกครั้ง จิตของเราสงบได้เร็วกว่าเดิมมาก ซึ่งอาจารย์ก็อธิบายไว้แล้วว่าเป็นเพราะจิตของเรายังไม่ถูกรบกวนและสะสมเรื่องราวต่างๆ จึงทำให้เกิดสมาธิและจิตรวมได้ง่ายกว่า
หลังจากนั่งสมาธิครึ่งชั่วโมง ก็เดินจงกรมอีกครึ่งชั่วโมง ก็แปลกอีกอย่างหนึ่งคือ สามารถกำหนดเวลาได้ครึ่งชั่งโมงเกือบพอดีโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาอีกเช่นกัน
หลังจากที่ทำได้ก็รู้สึกภูมิใจ และรู้สีกดีมากครับ วันนี้มีความรู้สึกแปลกๆ เหมือนมึนๆนิดๆ แต่ก็ไม่ใช่เวียนหัว (ไม่รู้เพราะกังวลว่านอนน้อยหรือเปล่า) แต่รู้สึกว่าตัวเองมีพลัง เพื่อนๆที่ไม่เคยตื่นเช้ามานั่งสมาธิ อยากให้ลองดูครับ
ถาม: หลักสูตรครูสมาธิสอนอะไร
ตอบ: วิธีการทำสมาธิอย่างถูกวิธี ตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงวิปัสสนา แต่หลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรที่เน้นการทำสมาธิสำหรับประชาชน คนทำงานทั่วไปครับ
ถาม: ไม่เคยรู้เรื่องสมาธิเลยเรียนได้ไหม
ตอบ: สำหรับคนที่ไม่เคยฝึกสมาธิเลยก็เรียนได้ ตอนผมเริ่มเรียน ผมก็รู้แค่การนั่งสมาธิคือการนั่งขัดสมาธิ เอามือขวาทับมือซ้าย แล้วท่องพุทโธ ไม่ได้รู้อะไรมากกว่านั้นเลย
ถาม: จุดประสงค์หลักของหลักสูตรคืออะไร
ตอบ: หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร ต้องการเผยแพร่สมาธิเพื่อความสันติสุขของโลก จึงออกแบบหลักสูตรสมาธิมาเพื่อให้คนธรรมดาอย่างพวกเราเข้าถึงการทำสมาธิได้ง่าย ช่วยให้เรามีสติรู้ทันอารมณ์มากขึ้น
ถาม: เรียนจบแล้วต้องไปเป็นครูสอนสมาธิหรือเปล่า
ตอบ: ไม่มีใครบังคับ แต่สำหรับท่านที่มีจิตอาสา ต้องการช่วยเผยแพร่สมาธิก็สามารถทำได้อย่างถูกหลักการ
ถาม: ไม่ค่อยมีเวลาไป ไม่แน่ใจว่าจะไปเรียนได้ไหม
ตอบ: ผมมองว่า เหมือนการสะสมเงิน ถ้าเราว่างไปเรียนได้มากแค่ไหน เราก็ได้สะสมไปแค่นั้น ไปมากก็ได้มาก ถ้าไม่ไปก็ไม่ได้เลย ได้น้อยก็ดีกว่าไม่ได้เลย
ถาม: ถ้าเราเกิดมีความจำเป็นที่ต้องหยุดเรียนบ้าง จะมีผลกับการอบรมหรือไม่
ตอบ: ตามหลักสูตร เขาก็มีการเก็บชั่วโมงเรียน ถ้ามาไม่ครบ ก็ทำสมาธิเป็นการบ้านมาเป็นชั่วโมงเพิ่มได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด จริงๆแล้วน้อยคนครับที่จะไปได้ครบทุกครั้ง เพราะส่วนมากก็เป็นคนทำงานมีภาระกิจกันทั้งนั้น ที่หลวงพ่อออกแบบหลักสูตรให้เรียนตอนเย็น ก็เพราะอยากให้คนทำงาน คนมีภาระกิจได้มีโอกาสได้ฝึกสมาธิครับ
ถาม: ทำไมไม่สอนในวัด
ตอบ: ถ้าถามคนทั่วไปว่าไปวัดกับไปห้าง อันไหนไปง่ายกว่า คนทั้วไปก็จะตอบว่าห้าง เพื่อให้คนทั่วๆไปเข้าถึงสมาธิได้ง่ายขึ้น เรียนสมาธิอาจไม่จำเป็นต้องไปเรียนที่วัด เพียงเป็นที่ที่สะดวก และเราสามารถตัดสิ่งรบกวนออกไปได้
* แต่จริงๆแล้ว สาขาของสถาบันพลังจิตตานุภาพทั่วประเทศ มีทั้งสถานที่สอนในวัด ในบ้าน และในอาคารพาณิชย์ครับ
ถาม: ทำไมเรียนฟรี
ตอบ: คงเป็นที่สงสัยสำหรับหลายคนครับ เพราะไม่มีอะไรฟรีบนโลกนี้ งบประมาณส่วนใหญ่ที่นำมาใช้ในการดำเนินงานของสถาบันพลังจิตตานุภาพได้จากการบริจาคครับ แต่ไม่มีการบังคับให้บริจาค และสถาบันดำเนินงานด้วยระบบพี่เลี้ยง รุ่นพี่ช่วยเหลือรุ่นน้อง จึงไม่ต้องจ่ายเงินเดือนพนักงาน มีแต่การช่วยเหลือกันด้วยความสมัครใจ
* ค่าใช้จ่ายในสถาบันพลังจิตตานุภาพสาขาต่างๆ ได้งบประมาณมาจากมูลนิธิหลวงพ่อวิริยังค์สิรินธโร และยกตัวอย่างที่สถาบันพลังจิตตานุภาพ สาขาภูเก็ต ศูนย์นำชัย ก็ได้รับการอนุญาตให้ใช้สถานที่ฟรี จากคุณวิสิษฐ์ ใจอาจ และครอบครัว โบรชัวร์ที่เราใช้ในการประชาสัมพันธ์ ก็ออกแบบกันเอง การพิมพ์ ก็ได้คุณคุณทินรัตน์ เทพบุตร ร่วมทำบุญค่าพิมพ์ส่วนหนี่ง ที่ผมช่วยประชาสัมพันธ์นี้ ผมก็ไม่ได้อะไร สิ่งที่จะพึงได้ก็คือ เมื่อสังคมดีขึ้น เราก็จะดีขึ้นไปด้วย
ถาม: เป็นลัทธิอะไรหรือเปล่า
ตอบ: ผมเรียนหลักสูตรครูสมาธิมา 4 เดือน พระอาจารย์ และอาจารย์ทุกท่านสอนโดยยึดมั่นตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ได้นอกลู่นอกทางเลย
ข่าวดี ตอนนี้สถาบันพลังจิตตานุภาพกำลังรับสมัครนักศึกษาครูสมาธิ รุ่นที่ 28 ครับ เพื่อนๆหลายคนสนใจมาก จึงเป็นโอกาสดีครับที่จะได้เรียนรู้สมาธิแบบลึกซึ้ง โดยไม่ต้องมีพื้นฐานมาก่อน
ผมรู้สึกขอบคุณตัวเองที่เมื่อ 4 เดือนก่อน ตัดสินใจเข้าเรียนสมาธิ เพราะมันทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น โดยอาศัยเพียงแค่ตัวเราเอง อยากให้เพื่อนๆได้รับสิ่งดีๆเช่นกัน
เปิดรับสมัครนักศึกษาครูสมาธิ รุ่นที่ 28
(อัฏฐวีสติโม)
รับสมัคร: ทุกวัน 16.00 – 20.30 น.
ตั้งแต่บัดนี้ – 12 กุมภาพันธ์ 2554
ปฐมนิเทศ: 13 กุมภาพันธ์ 2554
เริ่มเรียน: 14 กุมภาพันธ์ 2554
เวลาเรียน: จันทร์ – ศุกร์ 18.00 – 20.30 น.
ระยะเวลา: 6 เดือน
สมัครเรียน ฟรี ! ไม่เสียค่าใช้จ่าย ได้ที่
สถาบันพลังจิตตานุภาพ ศูนย์นำชัย 15
145 ถนนพังงา ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต
(อยู่ถัดจาก ธนาคารออมสิน ประมาณ 100 เมตร)
เว็บไซต์ www.SamathiPhuket.com
บางครั้งเราทำอะไรไป โดยที่เราไม่รู้อารมณ์ตัวเองเสียด้วยซ้ำ เรื่องที่ผมโพสด้านล่างได้จากเมล์ที่ได้รับการส่งต่อจากเพื่อนในวันนี้ อ่านแล้วรู้สึกสะเทือนใจมาก จึงอยากแบ่งปันให้ทุกท่านอ่าน
ถามว่า คุณพ่อรู้ไหมว่าลูก กับรถ อันไหนสำคัญกว่า ทุกคนก็ตอบว่า “รู้” แต่ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น ก็เพราะขาดสติไง อย่าว่าแต่เขาเลย บางครั้งเราก็เป็น ผมเชื่อมั่นว่า หากเขาได้เรียนสมาธิ เขาจะมีสติมากขึ้น และเหตุการณ์เช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น
เรื่องเล่ามีดังนี้
ขณะที่ชายคนหนึ่งกำลังขัดล้างรถอย่างขะมักเขม้นลูกชายวัย 4 ขวบ ก้มลงเก็บก้อนหินขึ้นมา แล้วบรรจงขูดขีดไปบนด้านข้างของตัวรถ
พักใหญ่ต่อมา… เมื่อพ่อได้ยินเสียงครูดของหิน ก็เกิดความฉุนเฉียว โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขากระชากมือลูกมา ตีลงบนมือน้อย ๆ นับครั้งไม่ถ้วน โดยไม่ทันนึกว่าตนได้ถืออะไรอยู่ในมือ
ณ โรงพยาบาล.. นิ้วลูกชายถูกตัดออก เพราะกระดูกแตก จนหมอไม่สามารถเชื่อมต่อได้
ขณะที่พ่อเข้ามาดูลูกในห้อง ลูกมองพ่อด้วยสายตาปวดร้าว แล้วถามพ่อว่า ” เมื่อไร นิ้วหนูจึงจะยาวเหมือนเดิม ? “
คำถามนั้น… เหมือนคมมีดกรีดลึกลงไปในหัวใจผู้เป็นพ่อ เขารู้สึกละอายใจ รู้สึกผิด และเสียใจในการกระทำตนอย่างไม่อาจให้อภัย
เขาจึงกลับไปที่รถ เตะมันสุดแรงเกิดโดยไม่ยั้งจนเหนื่อยหอบ แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างรถอย่างเศร้าใจ
สายตาพลันเหลือบไปเห็นรอยขูดขีด เขาเบิกตากว้าง ! จ้องมองคำว่า “รักพ่อ” น้ำใส ๆ เริ่มเอ่อ แล้วไหลอาบแก้ม เขาเอามือปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับใจจะขาด
รุ่งขึ้น… ชายคนนั้นได้ฆ่าตัวตาย
อารมณ์โกรธ มีโทษมหันต์
ปัญหาของโลกในทุกวันนี้ คือ
คนบางคน.. รักรถ หวงรถ หรือสิ่งของอื่น ยิ่งกว่ารักและห่วงใยลูก หรือ เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
จำไว้เสมอว่า สิ่งของมีไว้ให้ใช้ และ คนมีไว้ให้รัก
ผมรู้ดีว่าพ่อคนนี้เขาเสียใจแค่ไหน เพราะผมเองเวลาโมโห ก็เคยตีลูกเพราะความโมโหมากกว่าเหตุผล ถึงแม้ลูกจะผิดจริง แต่หลายครั้งก็ควรจะแก้ปัญหาด้วยการพูดคุย อบรมสั่งสอน มากกว่าการทำโทษ พอรู้ตัวก็ขอโทษลูก และบางครั้งก็กอดลูกร้องไห้ด้วยกัน
หลังจากที่ผมได้เรียนสมาธิที่สถาบันพลังจิตตานุภาพเพียงไม่กี่เดือน ผมก็รู้สึกว่าผมได้รับอะไรๆมากว่าที่คาดว่าจะได้รับ คือ เรามีสติมากขึ้น เวลาจะทำโทษลูกก็รู้ว่าเราต้องการสั่งสอนให้เขาเป็นคนดี ไม่ใช่เพราะเราโกรธ หรือโมโห
ผมได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับสมาธิ การนั่งสมาธิ และการเรียนสมาธิไว้ที่ http://lupthawit.purethailand.com/category/health/meditation/ ท่านสามารถศึกษาได้ครับหากสนใจ
พ่อในเรื่องข้างต้น ขาดสติอย่างมาก และพลาดถึง 3 ครั้ง
1. ลงโทษลูกอย่างรุนแรง เพราะ ขาดสติ และ โทสะ ในตัวเอง
2. ไปเตะรถ ก็แสดงถึงการขาดสติ ยับยั้งความโกรธในตัวไม่ได้
3. ตัดสินใจผิดที่ไปฆ่าตัวตาย จะทำให้ลูกลำบาก และเป็นทุกข์มากกว่าเดิม
จากเนื้อเรื่อง ผมคิดว่าพ่อในเรื่องคงไม่ได้รักลูกน้อยกว่าพ่อคนไหนๆในโลก ท่านว่าจริงไหมครับ
การนั่งสมาธิ มีประโยชน์มากมาย ช่วยให้ทั้งสุขภาพใจและกายของเราดีขึ้น ปกติก่อนการนั่งสมาธิ พระอาจารย์แนะนำให้เดินจงกรมก่อน ท่านผู้สนใจสามารถหารความรู้เพิ่มเติมได้ที่ วิธีการทำสมาธิ สำหรับผู้เริ่มต้น ด้วยการเดินจงกรม
วิธีการนั่งสมาธินี้ เป็นวิธีที่ผมได้รับการสอน จากพระอาจารย์ หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร ในการเรียน หลักสูตรครูสมาธิ @ สถาบันพลังจิตตานุภาพ จังหวัดภูเก็ต
วิธีการนั่งสมาธิ
๑. ถ้านั่งกับพื้น ให้นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย ตั้งกายตรง
ถ้านั่งบนเก้าอี้ ให้นั่งห้อยเท้าตามสบาย ตั้งกายตรง หรือหลังพิงเก้าอี้ก็ได้
๒. ยกมือพนมระหว่างอก กล่าวคำอธิษฐานสมาธิ
กล่าวว่า ” ข้าพเจ้า ระลึกถึง คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดา มารดา คุณครูบาอาจารย์ จงมาดลบันดาล ให้ใจของข้าพเจ้า จงรวมลงเป็นสมาธิ
พุทโธ ธัมโม สังโฆ
พุทโธ ธัมโม สังโฆ
พุทโธ ธัมโม สังโฆ
พุทโธ พุทโธ พุทโธ”
๓. เอามือลง วางบนตัก มือขวาหงายทับมือซ้าย หลับตาเบา ๆ
๔. เริ่มบริกรรม “พุทโธ ๆ ๆ ……..” ในใจจนกว่าจะเลิก ตามเวลาที่กำหนด
ปกติแนะนำให้ผู้เริ่มต้นนั่งสมาธิ นั่งสมาธิ 5- 30 นาที
๕. หลังจากนั้นให้ตั้งใจสวดแผ่เมตตาพิเศษ
กล่าวว่า “สัพเพ สัตตา สะทา โหนตุ, อะเวรา สุขะชีวิโน
ขอให้สัตว์ทั้งหลาย จงเป็นผู้ไม่มีเวรต่อกันและกัน จงเป็นผู้ดำรงชีพอยู่เป็นสุขทุกเมื่อเถิด
กะตัง ปุญญัง ผะลัง มัยหัง, สัพเพ ภาคี ภะวันตุ เต
ขอให้สัตว์ทั้งสิ้นนั้น จงเป็นผู้มีส่วนได้เสวยผลบุญ อันที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้วนั้นเทอญ”
Tags: จังหวัดภูเก็ต, ทำสมาธิ, นั่งสมาธิ, ภูเก็ต, วิธีการ, สถาบันพลังจิตตานุภาพ, สมาธิ, หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร, เดินจงกรม, เรียนสมาธิ
นั่งสมาธิ-เรียนสมาธิ, สุขภาพ กาย&ใจ | lupthawit 01/11/2010 | Comments (1)