Posts tagged: เดินจงกรม

ทำบุญ นั่งสมาธิ เดินจงกรม แล้วได้อะไร

ถ้าถามว่า “ทำบุญ นั่งสมาธิ เดินจงกรม สวดมนต์ แผ่เมตตา ทำแล้วได้อะไร”
ถ้าให้ตอบแบบตรงๆ ให้เห็นเป็นรูปธรรม ผมก็คงต้องตอบว่า “ไม่รู้”

จริงๆแล้ว ตอนนี้ผมก็ปฏิบัติธรรมทุกวัน สวดมนต์ทุกวัน แผ่เมตตาทุกวัน ตักบาตรบ่อยขึ้นมาก สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง (จากเดิมไม่เคยเกินปีละ 2-3 ครั้ง)
ถามว่า ได้บุญไหม ตายแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์หรือเปล่า ผมตอบไม่ได้ครับ

รู้แต่ว่า ..  สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม แล้วใจสงบขึ้น นิ่งขึ้น มีสติมากขี้น

ตอนนี้ผมสวดมนต์เป็นประจำทุกคืนมาปีกว่าแล้ว แรกๆก็ไม่รู้สึกอะไร ออกจะรู้สึกว่าเสียเวลาด้วย แต่ตอนนี้รู้แล้วว่า สวดมนต์ช่วยให้ใจเราสงบขึ้น

ผมนั่งสมาธิ เดินจงกรม มากกว่า 8 เดือน รู้และสัมผัสกับตัวเองได้เลยว่า สุขภาพดีขึ้น ทั้งกายและใจ มีสติขึ้นมาก

การแผ่เมตตา จริงๆก็ไม่รู้ว่า ญาติ หรือเจ้ากรรมนายเวรได้รับหรือเปล่า รู้แต่ว่า มันทำให้เรามีเมตตามากขึ้น จิตใจอ่อนโยนมากขึ้น เบียดเบียนสัตว์ และคนอื่นน้อยลง (ยกเว้น ยังตบยุงอยู่ประจำ ยังทำใจไม่ได้ เพราะมันกัดลูก จะให้ปัดอย่างเดียว ยังทำไม่ได้ครับ)

อยากแบ่งปันความรู้สึกดีๆ และเหตุผลง่ายๆของการปฏิบัติธรรมคือ พัฒนาตัวเราเอง และทำให้ตัวเราเองสบายทั้งกายและใจ

 

 

สมาธิ สิ่งจำเป็นในชีวิต

ถ้าจะพูดว่าสมาธิเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต หลายๆท่านคงจะเห็นด้วย แต่อาจมีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าไม่จริง และอาจไม่ตระหนักถึงความสำคัญของสมาธิ เพราะอาจคิดว่า ที่ฉันมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่เคยนั่งสมาธิ ไม่เคยเดินจงกรม ก็สามารถอยู่ได้ ไม่เห็นจะเป็นอะไร เมื่อก่อนผมก็คิดแบบนั้นครับ (ก่อนที่ผมจะได้มาเรียนสมาธิ)

ผมอยากยกตัวอย่างง่ายๆอันหนึ่ง ผมอยากเปรียบเทียบการทำสมาธิ เหมือนกับการออกกำลังกาย การออกกำลังกายก็เพื่อให้กายแข็งแรง การทำสมาธิก็เพื่อให้จิตหรือใจของเราแข็งแรงเช่นกัน

ถ้าเราไม่ได้ออกกำลังกาย ร่างกายของเราก็จะอ่อนแอ และค่อยๆเสื่อมทีละเล็กทีละน้อย แต่เราก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ เพราะความเสื่อมนั้นค่อยๆสะสม และยังไม่ได้แสดงอาการ แต่หากปล่อยปะละเลยให้นานวันเข้า ร่างกายที่เป็นสิ่งวิเศษและแข็งแรงของเราก็เริ่มที่จะไม่ไหว อาจจะเริ่มแสดงอาการโดยการที่เป็นหวัดบ่อยขึ้น เริ่มปวด เริ่มเมื่อย และโรคของความเสื่อมต่างๆก็ตามมา บางครั้งอาจรุนแรงกว่าที่เราจะคาดถึง

จิตใจเราก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้ออกกำลังจิต พลังของมันก็จะลดน้อยถอยลง แสดงถึงอาการมากมาย (ซึ่งบางครั้งเราอาจคิดไม่ถึง) เช่น การนอนไม่หลับ โกรธง่าย โมโหร้าย อ่อนไหวง่าย คุมสติตัวเองไม่อยู่ ยั้งอารมณ์ไม่ได้ ทำไปแล้วค่อยมาเสียใจทีหลัง อาการอย่างนี้ทุกคนคงเห็นด้วยว่าเป็นเพราะขาดสติ หรือขาดสมาธิ ผู้อ่านหลายท่านก็อาจมีประสบการณ์ใช่ไหมครับ ผมก็เคยเป็นเช่นกัน

ผมเองเคยเป็นคนที่ทำงานหนักมาก ทำแบบไม่สงสารตัวเอง เพราะคิดว่าตอนนี้ยังมีแรง ขอให้ลำบากเสียตั้งแต่ตอนนี้ ต่อไปจะได้สบาย จึงโหมทำงานหนักโดยไม่ได้สงสารร่างกาย ไม่ได้พักผ่อน ไม่ได้ออกกำลังกาย ไม่ดูแลตัวเอง ผลก็คือ ตัวเองต้องมาเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท โรคฮิตในผู้สูงอายุ แต่ผมเองกลับมาเป็นโรคนี้ตอนอายุแค่ 30 ต้นๆ

พอตัวเราทำงานมาก ก็คอยแต่สะสมความเครียดเอาไว้ ยิ้มก็ไม่เป็น มีแต่ความกังวลอยู่ในหัว ไม่ยอมปล่อยวาง รู้สึกว่าบางครั้งตัวเองหงุดหงิดง่ายขึ้น ทั้งๆที่บางครั้งเป็นเรื่องเล็กน้อย และรู้สึกตัวเองว่าความโกรธของเราในบางครั้งนั้นรุนแรง อาจจะเป็นเพราะการสะสมความเครียดเป็นระยะเวลานานๆก็ได้

หลังจากที่ป่วยเป็น โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ก็ทำให้รู้ตัว สำนึกได้ ว่าชีวิตเรานั้นต้องการสมดุล ไม่ใช่มุ่งแต่ทำอะไรมากจนเกินไปแต่อย่างเดียว ก็แบ่งเวลาพักผ่อน และออกกำลังกายมากขึ้น ร่างกายก็ดีขึ้นตามลำดับ

หลังจากได้เรียนสมาธิ ก็รู้สึกว่าใจของตัวเองสบายขึ้น โกรธน้อยลง หายโกรธเร็วขึ้น เรามีสติมากขึ้น หลับง่ายขึ้น (ทั้งๆที่ตัวเองหลับง่ายอยู่แล้ว) ยิ้มง่ายขึ้น (ปกติจะเป็นเสือยิ้มยาก) ให้อภัยคนอื่นมากขึ้น รู้ใจตัวเอง และคิดถึงใจคนอื่นมากขึ้น มีข้อดีที่ลึกซึ้งมากมายที่ผมได้รับจากการเรียนสมาธิ

นั่งสมาธิ เดินจงกรม เพิ่มพลังให้กับชีวิต

เป็นความรู้สึกจริงๆครับว่าร่างกายของเรามีพลังขึ้น หลังจากได้นั่งสมาธิ และเดินจงกรมทุกเช้า

จากการแนะนำของอาจาย์ที่สอนสมาธิ ให้ลองนั่งสมาธิ เดินจงกรมตอนเช้ามืด ผมชนะใจตัวเอง ตื่นเช้าได้ (ทั้งๆที่คิดมาตลอดชีวิตว่าเป็นเรื่องยากมากสำหรับเรา) ลองนั่งสมาธิ และเดินจงกรมตอนตี 4 เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2553 ตอนนี้ผมก็ทำสมาธิตอนเช้ามืดต่อเนื่องมาได้หลายวันแล้ว (ยกเว้นคืนวันปีหม่วันเดียว)

ความรู้สึกแปลกอย่างหนึ่งคือ ตอนแรกคิดว่าตัวเองจะง่วงนอนระหว่างวันเพราะต้องตื่นเช้า แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ตอนนี้รู้สึกว่า่ร่างกายของเรามีพลังมากขึ้น เหมือนกับแบตเตอรี่ที่ได้รับการชาร์จไฟเข้าไปใหม่

วันแรกๆของการทำสมาธิตอนเช้า รู้สึกตัวเองมึนๆบ้าง แต่เหมือนมีพลังลึกๆ แบบบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะตัวเรากังวลไปเองว่า เราต้องง่วงแน่ๆ แต่ก็ไม่ต้องนอนระหว่างวันเลยครับ

ตอนนี้หลังทำสมาธิตอนเช้า บางครั้งหากยังเช้ามาก ก็อ่านหนังสือ หรือนอนต่อแป๊บหนึ่ง แต่หลังจากตื่นแล้ัว จะรู้สึกสดชื่นมาก เหมือนตื่นจากข้างใน ไม่ใช่ตาตื่น แต่ตัวไม่อยากตื่นเหมือนที่เคยเป็น

อยากเชิญชวนให้ผู้อ่านลองทำสมาธิดูครับ ไม่น่าเชื่อ ว่าการเดิน หรือนั่ง โดยการทำใจเราให้นิ่ง สงบ กำจัดอารมณ์ต่างๆทิ้่งไป จะมีผลดีกับชีวิตเรามากขนาดนี้

แก้ปัญหา..นอนไม่หลับ ด้วยสมาธิ

การนอน เรื่องง่ายๆสำหรับคนทั่วไป แต่อาจเป็นปัญหาใหญ่สำหรับบางคนเพราะเขา”นอนไม่หลับ” ผมคิดว่าหลายๆคนก็อาจจะเคยนอนไม่หลับ แค่นอนไม่หลับคืนเดียวก็ทรมานแล้ว เช้าขึ้นระบบของร่างกายรวนหมดเลย เป็นอันทำงานทำการไม่ได้

ปัญหาการนอนไม่หลับเป็นปัญหาใหญ่มาก เพราะคนที่เป็นส่วนมาก ไม่ใช่นอนไม่หลับแค่คืนเดียว แต่นอนไม่หลับหลายๆคืน หรือทุกๆคืน ทำให้บั่นทอนทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ

หลังจากที่ผมได้เรียนเรื่องสมาธิ ก็ได้รู้ว่าการการนั่งสมาธิ และเดินจงกรมนั้นให้ประโยชน์หลายอย่าง รวมถึงช่วยเรื่องการนอนไม่หลับด้วย มีหลายๆคนที่เดิมหลับยาก หรือหลับไม่สนิท พอได้มาเรียนสมาธิแล้ว ก็ช่วยให้หลับง่าย และหลับลึกขึ้น

ตามหลักสูตรครูสมาธิของพระอาจารย์ หลวงพ่อ วิริยังค์ สิรินทโร ท่านอธิบายเกี่ยวกับการนอนไว้ว่า การนอนก็คือการทำสมาธิอย่างหนึ่ง เป็นการได้สมาธิโดยธรรมชาติ ที่เราไม่ได้นอนแล้วอยู่ไม่ได้ ก็เพราะเราขาดสมาธิ (ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ) นั่นเอง

แต่สำหรับคนที่ทำสมาธินั้น แม้จะนอนน้อยก็สามารถอยู่ได้ เพราะสมาธิที่สร้างขึ้นโดยการทำสมาธิ (เช่น การนั่งสมาธิ การเดินจงกรม) นั้นมีเพียงพอสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน

สำหรับตัวผมเอง การเรียนสมาธิ ทำให้ผมหลับสนิทและหลับลึกขึ้น ทำให้ความเพลียระหว่างวันลดลง เมื่อก่อน ผมมักจะง่วง และต้องแอบงีบตอนกลางวัน อย่างน้อยสักครึ่งชั่วโมง แต่หลังจากการเรียนสมาธิมา 2-3 เดือน ผมแทบไม่ต้องนอนกลางวันเลย จะมีบ้างเฉพาะวันที่นอนดึก

เมื่อวาน ผมยังได้คุยกับพี่จิ๊บ (นักศึกษาครูสมาธิ รุ่นที่ 26) พี่จิ๊บมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนไม่หลับมาประมาณ 4 ปี ถึงขนาดต้องหาหมอกินยา และหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคนอนไม่หลับ หรือ Insomnia พี่จิ๊บต้องทรมานกับโรคนอนไม่หลับอยู่หลายปี วิธีทางเดียวที่จะทำให้เธอนอนหลับได้ก็คือ “ยา” เริ่มกินยาทีละน้อย และก็ต้องเพิ่มขนาดขึ้น ทั้งๆที่รู้ว่ายาจะมีผลต่อสุขภาพในระยะยาว ก็จำเป็นต้องกิน เพราะได้ลองหลายวิธีเพื่อให้นอนหลับ แต่ก็ไม่เป็นผล

หลังจากที่พี่จิ๊บได้มาเรียนสมาธิในหลักสูตรครูสมาธิประมาณ 3 เดือน อาการนอนไม่หลับก็เริ่มดีขึ้น ลดการใช้ยาลง เหลือรับประทานยาเพียงแค่ครั้งละครึ่งเม็ด วิธีที่พี่จิ๊บใช้ช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับคือ การนั่งสมาธิก่อนนอน หลังจากพี่จิ๊บทำกิจวัตรประจำวันเสร็จ และพร้อมเข้าน้อนแล้ว พี่จิ๊บก็จะนั่งสมาธิก่อนนอนประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นก็นอนทันทีเลย วิธีนี้ทำแล้วได้ผล และทำให้พี่จิ๊บหลับได้ง่ายขึ้น

ตอนนี้ได้ทำสมาธิมาประมาณ 9 เดือนแล้ว หลังจากไปเดินธุดงค์ที่ดอยอินทนนท์กลับมา ก็นอนหลับได้เอง ไม่ต้องใช้ยาอีกเลย หมอก็บอกว่าหายแล้ว ยาที่เหลือก็ให้เก็บเผื่อไว้จนหมดอายุ แล้วค่อยทิ้งมันไป

ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีที่สมาธิช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างมาก

นั่งสมาธิ เดินจงกรม ตั้งแต่ตี 4

เมื่อวานเป็นวันที่เรียน หลักสูตรครูสมาธิ ภาคทฤษฎีเป็นวันสุดท้าย อาจารย์ที่สอนคือ อาจารย์ ชิราวุธ กรจรุงเกียรติ ได้สอนว่า ช่วงเวลาที่จะนั่งสมาธิ แล้วได้ผลดี ตามที่ของหลวงพ่อ วิริยังค์ สิรินธโร คือ ช่วงเวลา ตี 4 – ตี 5 เพราะป็นช่วงเวลาที่สงบ เงียบ เป็นช่วงเวลาที่คนและสัตว์ทั่วไปยังไม่ตื่น มีสิ่งรบกวนต่างๆน้อย จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการทำสมาธิ

พระอาจารย์ยังกล่าวไว้ว่า ช่วงเวลา ตี 4 – ตี 5 เป็นเวลาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงใช้ตรวจดูสัตว์โลก หรือบุคคลที่ควรจะได้รับคุณธรรม หรือผู้มีวาสนาที่สมควรได้สำเร็จมรรคผล

จริงๆแล้วอาจารย์ที่สอนในหลักสูตรครูสมาธิหลายท่านก็เคยแนะนำให้ตื่เช้ามานั่งสมาธิ แต่ด้วยความขี้เกียจ และไม่คิดว่าตัวเองจะตื่นเช้าไหว ก็เลยไม่เคยคิดจะทำเลย (สำหรับบางคน รวมทั้งผม เรื่องตื่นเช้าเป็นเรื่องที่ยากมาก จริงไหมครับ) แต่เมื่อวาน จะเพราะอะไรก็ไม่รู้ อาจารย์ ชิราวุธ กรจรุงเกียรติ ได้ชวนนักศึกษาครูสมาธิในห้องหลายครั้งให้ลองตื่นเช้านั่งสมาธิดู ครั้งแรกๆผมก็ไม่ยกมือหรอกครับ ก็ยังคิดว่าตัวเองคงทำไม่ได้ และคิดว่าไม่จำเป็น แต่อาจารย์ก็ได้พูดถึงประโยชน์หลายอย่าง จนผมตัดสินใจ เป็นไงเป็นการ ถ้าเราจะปรับตัวเพื่อทำสิ่งที่ดี ก็ควรลอง พออาจารย์ถามรอบสุดท้าย ว่าใครจะลองนั่งสมาธิตอนตี 4 บ้าง ก็มีคนยกมือเพิ่มขึ้นหลายคน

หลังจากที่ยกมือ ผมก็ตั้งนาฬิกาปลุกที่มือถือเลยครับ ปกติถ้าผมรับปากว่าจะทำอะไรแล้ว ก็ต้องพยายามทำให้ได้ ไม่อยากผิดสัญญากับอาจารย์ ก็เลยตั้งนาฬิกาปลุกทันที แต่ตั้งปลุกตอน 04.30 น. นะครับ ไม่ใช่ตี 4

เมื่อคืนก็นอนเร็วหน่อย ประมาณ 4 ทุ่มก็หลับแล้ว ก่อนนอนก็ตั้งจิตสัญญากับตัวเองไว้ว่าเราจะตื่นมาทำสมาธิ ไม่น่าเชื่อครับ ผมตื่นได้เองก่อนนาฬิกาปลุก คือตื่นตอนตี 4

หลังจากตื่นก็เข้าห้องน้ำแล้วมานั่งสมาธิเลย สิ่งที่รู้สึกแตกต่างจากทุกครั้งคือ นั่งสมาธิแล้วรู้สึกเบา โล่งสบายกว่าทุกครั้ง จิตของเราสงบได้เร็วกว่าเดิมมาก ซึ่งอาจารย์ก็อธิบายไว้แล้วว่าเป็นเพราะจิตของเรายังไม่ถูกรบกวนและสะสมเรื่องราวต่างๆ จึงทำให้เกิดสมาธิและจิตรวมได้ง่ายกว่า

หลังจากนั่งสมาธิครึ่งชั่วโมง ก็เดินจงกรมอีกครึ่งชั่วโมง ก็แปลกอีกอย่างหนึ่งคือ สามารถกำหนดเวลาได้ครึ่งชั่งโมงเกือบพอดีโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาอีกเช่นกัน

หลังจากที่ทำได้ก็รู้สึกภูมิใจ และรู้สีกดีมากครับ วันนี้มีความรู้สึกแปลกๆ เหมือนมึนๆนิดๆ แต่ก็ไม่ใช่เวียนหัว (ไม่รู้เพราะกังวลว่านอนน้อยหรือเปล่า) แต่รู้สึกว่าตัวเองมีพลัง เพื่อนๆที่ไม่เคยตื่นเช้ามานั่งสมาธิ อยากให้ลองดูครับ

วิธีการทำสมาธิ สำหรับผู้เริ่มต้น ด้วยการนั่งสมาธิ

การนั่งสมาธิ มีประโยชน์มากมาย ช่วยให้ทั้งสุขภาพใจและกายของเราดีขึ้น ปกติก่อนการนั่งสมาธิ พระอาจารย์แนะนำให้เดินจงกรมก่อน ท่านผู้สนใจสามารถหารความรู้เพิ่มเติมได้ที่ วิธีการทำสมาธิ สำหรับผู้เริ่มต้น ด้วยการเดินจงกรม

วิธีการนั่งสมาธินี้ เป็นวิธีที่ผมได้รับการสอน จากพระอาจารย์ หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร ในการเรียน หลักสูตรครูสมาธิ @ สถาบันพลังจิตตานุภาพ จังหวัดภูเก็ต

วิธีการนั่งสมาธิ

๑. ถ้านั่งกับพื้น ให้นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย ตั้งกายตรง
ถ้านั่งบนเก้าอี้ ให้นั่งห้อยเท้าตามสบาย ตั้งกายตรง หรือหลังพิงเก้าอี้ก็ได้

๒. ยกมือพนมระหว่างอก กล่าวคำอธิษฐานสมาธิ
กล่าวว่า ” ข้าพเจ้า ระลึกถึง คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดา มารดา คุณครูบาอาจารย์ จงมาดลบันดาล ให้ใจของข้าพเจ้า จงรวมลงเป็นสมาธิ
พุทโธ ธัมโม สังโฆ
พุทโธ ธัมโม สังโฆ
พุทโธ ธัมโม สังโฆ
พุทโธ พุทโธ พุทโธ”

๓. เอามือลง วางบนตัก  มือขวาหงายทับมือซ้าย  หลับตาเบา ๆ

๔. เริ่มบริกรรม “พุทโธ ๆ ๆ   ……..” ในใจจนกว่าจะเลิก ตามเวลาที่กำหนด
ปกติแนะนำให้ผู้เริ่มต้นนั่งสมาธิ นั่งสมาธิ 5- 30 นาที

๕. หลังจากนั้นให้ตั้งใจสวดแผ่เมตตาพิเศษ
กล่าวว่า “สัพเพ  สัตตา  สะทา โหนตุ,  อะเวรา  สุขะชีวิโน
ขอให้สัตว์ทั้งหลาย จงเป็นผู้ไม่มีเวรต่อกันและกัน จงเป็นผู้ดำรงชีพอยู่เป็นสุขทุกเมื่อเถิด
กะตัง ปุญญัง ผะลัง มัยหัง, สัพเพ ภาคี ภะวันตุ เต
ขอให้สัตว์ทั้งสิ้นนั้น จงเป็นผู้มีส่วนได้เสวยผลบุญ อันที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้วนั้นเทอญ”

วิธีการทำสมาธิ สำหรับผู้เริ่มต้น ด้วยการเดินจงกรม

การเดินจงกรม มีประโยชน์คือ เป็นการช่วยกรองอารมณ์ คือการทำให้เราค่อยๆลดสิ่งกังวล หรือลดเรื่องที่เราคิดอยู่ในแต่ละวัน ปกติเราจะเดินจงกรมก่อนการนั่งสมาธิ เพื่อทำให้เรานั่งสมาธิได้ดีขึ้น ท่านสามารถศึกษาวิธีการนั่งสมาธิได้ที่ วิธีการทำสมาธิ สำหรับผู้เริ่มต้น ด้วยการนั่งสมาธิ

วิธีการเดินจงกรมนี้ เป็นวิธีที่ผมได้รับการสอน จากพระอาจารย์ หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร ในการเรียน หลักสูตรครูสมาธิ @ สถาบันพลังจิตตานุภาพ จังหวัดภูเก็ต

วิธีการเดินจงกรม

๑. กำหนดเส้นทางเดินจงกรม
การกำหนดเส้นทางการเดินจงกรม ไม่ควรสั้นหรือยาวจนเกินไป ปกติประมาณ 10-20 เมตร ก็ได้ หรือจัดให้เหมาะกับสถานที่

๒. ยืนตรงจุดเริ่มต้นทางเดินจงกรม พนมมือระหว่างอกแล้ว สำรวมจิต กล่าวคำอธิษฐานเดินจงกรม
กล่าวว่า ” เมตตา  กรุณา  มุทิตา  อุเบกขา  พุทโธ  พุทโธ  พุทโธ ”
ยกมือที่พนมสูงขึ้นระหว่างคิ้ว กล่าวในใจว่า “สาธุ”

๓. เอามือลง ใช้มือขวาจับมือซ้าย วางไว้ตรงท้องน้อย ห้อยมือพอสบายไม่เกร็ง

๔. กำหนดจิตไว้ที่ฐานวางจิต ไม่ต้องหลับตา ตามองทางเดินจงกรมไกลว่าตัวประมาณ ๑.๕ – ๒ เมตร
ฐานวางจิต ให้เลือกได้ 5 จุด คือ หน้าผาก ปลายจมูก บริเวณใบหน้า หัวใจ หรือ สะดือ

๕. เริ่มบริกรรมคำว่า ” พุทโธ ๆ ” อยู่ในใจ พร้อมก้าวเท้าขวาเดินตามด้วยเท้าซ้าย ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป เดินในลักษณะเดินปกติ

๖. เมื่อเดินสุดทางจงกรม ให้ค่อย ๆ หมุนตัวกลับทางขวา ยืนทรงตัวตรง แล้วจึงเริ่มก้าวด้วยเท้าขวาเหมือนตอนเริ่มต้น

๗. เมื่อครบตามเวลาทำกำหนด ให้ยืนตรงจุดเริ่มต้นเดิน พนมมือระหว่างอก กล่าวแผ่เมตตาสั้นๆ
กล่าวว่า ” สัพเพ  สัตตา  สุขิตา  โหนตุ
ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุข  ๆ  เถิด”
แล้วยกมือที่พนมขึ้นระหว่างคิ้วแล้วกล่าวในใจว่า  ” สาธุ ” เป็นอันจบพิธีการเดินจงกรม

ผลการเรียนสมาธิ @ สถาบันพลังจิตตานุภาพ จังหวัดภูเก็ต

ตอนนี้ผมได้เรียนสมาธิที่สถาบันพลังจิตตานุภาพมาประมาณเดือนกว่าแล้ว เรียนหนังสือจบไป 1 เล่ม (ทั้งหมดของหลักสูตรครูสมาธิมี 3 เล่ม) ก็รู้สึกว่าการเรียนสมาธินี้ได้ประโยชน์จริงๆครับ ถึงแม้เราเพิ่งฝึกมาไม่นาน

แรกๆที่เรียนก็ไม่สามารถนั่งสมาธิ หรือเดินจงกรมได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะใจยังฟุ้งซ่าน คิดถึงเรื่องงาน เรื่องโน่นเรื่องนี่เต็มไปหมด คิดแต่ว่าเมื่อไหร่จะหมดเวลา ตอนนี้ สามารถนั่งสมาธิได้จนหมดเวลา หรือเกือบหมดเวลาได้แล้ว อาจจะมีการคิดแวบไปแวบมาบ้างเป็นปกติของคนเพิ่งเริ่มหัด

ประโยชน์ของการเรียนสมาธินั้นมีมากมาย แต่บางคนเรียนแล้วบอกว่าเหมือนไม่ได้อะไร อาจเนื่องมาจากความคืบหน้าของการเรียนไม่มีอะไรวัดได้อย่างชัดเจน หลวงพ่อท่านเปรียบเทียบให้เข้าใจว่า มันก็เหมือนกับการเรียนหนังสือตอนเด็กๆ ถามว่าเรามีความรู้เมื่อไหร่ เราเก่งขึ้นเมื่อไหร่ ตอนไหน ตอบไม่ได้ใช่ไหมครับ เพราะความรู้ที่เรามี ค่อยๆเพิ่มทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆสะสม จนเราเก่งขึ้นในทุกวันนี้

การเรียนสมาธิก็เช่นเดียวกัน พลังจิตที่เราได้ จะค่อยๆสะสม เราจะค่อยๆเก่งขึ้นทีละเล็กทีละน้อย โดยที่เราไม่รู้ตัว จะรู้ตัวว่าเราเก่งขึ้น ตัดสินใจได้ดีขึ้น ก็ตอนที่เราได้ใช้มัน เช่น เวลาตกใจ เวลาโกรธ เวลาเกิดเรื่องฉุกเฉิน

หลวงพ่อยังสอนอีกว่า สมาธิเป็นสิ่งจำเป็น ต้องมีและต้องฝึก เหมือนการว่ายน้ำ ถ้าเรามาหัดว่ายน้ำเวลาใกล้จะจมน้ำ มันไม่ทันแล้ว เราต้องหัดว่ายน้ำไว้ก่อน เวลาเกิดเหตุฉุกเฉิน จะจมน้ำ เราจะได้ช่วยตัวเองได้

สิ่งที่ผมได้จากการเรียนสมาธิ
สบายใจ หลังจากเรียนสมาธิแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองสบายใจขึ้นมาก สามารถแยกแยะและแก้ปัญหาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้ดีขึ้น ก็เพราะเราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ทั้งชีวิตของเรา เราเรียนรู้เรื่องต่างๆมากมาย ทั้งในโลก และนอกโลก แต่เรามักจะไม่ค่อยได้เรียนรู้เรื่องของตัวเอง ใจของตัวเอง เมื่อได้เรียนเรื่องตัวเองแล้ว ก็ทำให้เราเข้าใจการทำงานของใจ ทำให้เราเข้าใจทั้งตัวเอง และผู้อื่นมากขึ้น

นิ่งขึ้น ปกติคนทุกคนจะมีเรื่องที่ทำให้โกรธ หรือโมโหแตกต่างกันไป เรื่องบางเรื่อง อาจจะดูธรรมดามากสำหรับเรา แต่อาจทำให้เพื่อนของเราโกรธมาก (ขอใช้คำว่า เรื่องบางเรื่องนั้นไปกระตุ้นต่อมโกรธ) สำหรับผมก็เช่นกัน ปกติอาจจะใจร้อน แต่ไม่ใช่คนที่โกรธง่าย แต่ก็มีบางเรื่องที่มากระตุ้นต่อมโกรธของเรา

เมื่อก่อน เมื่อโกรธแล้ว จะรู้สึกหงุดหงิด ไม่สบายใจ ไม่พอใจ รวมถึงความรู้สึกที่ไม่ดีทั้งหลายไป 2-3 วัน แต่หลังจากเรียนสมาธิแล้ว ตอนเราโกรธ เราก็รู้ว่าตัวเองกำลังโกรธอยู่ และก็คิดได้ และหายโกรธใน 2-3 ชั่วโมง ก็ดีกว่าเดิมเยอะ ถึงแม้ว่าเรายังไม่เก่งพอที่จะไม่โกรธเลย

หน้าใส อันนี้ไม่ได้พูดเองครับ แต่มีคนบอก บางคนไม่รู้ว่าเราเรียนสมาธิ แต่ได้มาเจอกันก็ยังบอกอย่างนั้น อาจเป็นเพราะเรียนแล้วรู้สึกสบาย ได้พักผ่อนทั้งกายและใจ เลยทำให้ตัวเองดูดีขึ้น

ได้เพื่อน แน่นอนครับกัลยาณมิตรจะพบได้ก็เฉพาะในที่ดีๆ คนไม่ดี คงไม่สามารถมาเรียนรู้ ฝึกทำสมาธิได้นานๆ เพราะใจร้อน ไม่นิ่งพอที่จะทำได้ มาเรียนสมาธิจึงเป็นโอกาสดีที่ทำให้เราได้เพื่อนดีๆ

วันนี้เอาแค่นี้ก่อนครับ หลังจากเรียนอีกสักพัก หากมีความคืบหน้าอย่างไร จะได้มาเล่าสู่กันฟัง

ท่านที่ยังไม่เคยรู้เรื่องหลักสูตรครูสมาธิ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่  หลักสูตรครูสมาธิ @ สถาบันพลังจิตตานุภาพ จังหวัดภูเก็ต

หลักสูตรครูสมาธิ @ สถาบันพลังจิตตานุภาพ จังหวัดภูเก็ต

หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่อยากพัฒนาตัวเอง รู้จักตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านจิตใจ การเรียนสมาธิเป็นทางเลือกที่ดีครับ เพราะนอกจากท่านจะได้รู้ถึงธรรมชาติของจิตใจของตัวเองแล้ว ยังเป็นการพัฒนาตัวเองโดยการใช้สมาธิ ถ้าสมัยใหม่ก็น่าเหมือนๆกับการพัฒนา EQ

สถาบันพลังจิตตานุภาพ ก่อตั้งโดย พระเทพเจติยาจารย์ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร) เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสถานที่เรียนรู้เรื่องสมาธิ ถึงแม้จะไม่มีความรู้เรื่องสมาธิมาก่อนก็สามารถเรียนได้

หลักสูตรครูสมาธิ เป็นหลักสูตรที่ หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร คิดขึ้น เพื่อให้ผู้ที่สนใจในสมาธิไม่ว่าจะเคยบำเพ็ญสมาธิมาก่อนหรือไม่ ได้รับความรู้ความเข้าใจในสมาธิแบบง่ายๆ ทั้งภาคทฤษฏีและปฏิบัติอย่างชัดเจน จนมีความรู้เพียงพอที่จะสอนผู้อื่นได้

สถาบันพลังจิตตานุภาพ ศูนย์นำชัย จังหวัดภูเก็ต ตั้งอยู่ที่ถนนพังงา อยู่ถัดจากธนาคารออมสิน สาขาภูเก็ต ไปประมาณ 100 เมตร

หลักสูตรครูสมาธิ เป็นหลักสูตรที่เหมาะกับคนทำงานทั่วๆไปครับ เพราะเรียนเฉพาะช่วงเย็น 18.00 – 20.30 น. วันจันทร์ ถึง วันศุกร์ และพระอาจารย์ หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร ก็ได้จัดหลักสูตรอธิบายเรื่องสมาธิไว้อย่างละเอียด ทำให้คนทั่วๆไปเข้าใจและเข้าถึงได้ง่าย

การเรียนในแต่ละวันจะมีอยู่ 3 ช่วงคือ
1. การฝังคำบรรยายจากวิทยากร และฟังเทปของหลวงพ่อ
< พักทานอาหารว่าง >
2. เดินจงกรม
3. นั่งสมาธิ

ขอเชิญชวนเพื่อนๆและผู้สนใจในการเรียนสมาธิลองมาเรียนครับ ผมคิดว่าได้ประโยชน์อย่างมากจริงๆ เพื่อนๆที่อยู่ต่างจังหวัดก็เรียนได้ เพราะ
สถาบันพลังจิตตานุภาพมีศูนย์อยู่หลายจังหวัดทั่วประเทศ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.samathi.com/

WordPress Themes