การคิดในการพัฒนาแบบญี่ปุ่น
ไปเรียน NEC (New Entrepreneurs Creation) ครั้งนี้รู้สึกว่าได้ข้อคิดดีๆมามาก จึงอยากจะแชร์ให้เพื่อนๆรู้ด้วย ผศ.คำรณ พิทักษ์ ได้สอนพวกเราเกี่ยวกับการเป็นผู้ประกอบการ ต้องมีการพัฒนาอยู่เสมอ และยกตัวอย่างคนญี่ปุ่นอยู่บ่อยครั้ง แน่นอนครับ ก็ญี่ปุ่นเป็นชาติที่เป็นต้นแบบของการพัฒนาในหลายๆด้าน ทั้งเรื่องปรัชญาการคิด และเทคโนโลยี
อ.คำรณ พิทักษ์ บอกว่า แนวความคิดที่ทำให้ญี่ปุ่นพัฒนาธุรกิจ และผลิตภัณฑ์มีง่ายๆ 3 ข้อ คือ
1. สิ่งที่เราทำอยู่ในทุกวันนี้ดีพอแล้วหรือยัง
2. แล้วเราจะทำให้ดีกว่านี้ได้ไหม
3. จะทำอย่างไร
ทั้งสามข้อเป็นความคิดที่ง่ายๆ แต่ลึกซึ้งจริงๆครับ ถ้าเราทำทั้ง 3 ข้อเป็นประจำ เราจะพัฒนาอย่างต่อเนื่องจริงๆครับ
ปัจจัยแห่งความสำเร็จ (Key Success Factor)
หลังจากที่ได้เข้าอบรมในโครงการ NEC (New Entrepreneurs Creation) มา ผมก็ได้คิดถึงปัจจัยแห่งความสำเร็จ (Key Success Factor) ของธุรกิจครอบครัวของเราที่ทำมากว่า 30 ปี คือ ธุรกิจรถเช่า โดยเราใช้แบรนด์หรือยี่ห้อของตัวเองว่า “เพียวคาร์เร้นท์ (Pure Car Rent)”
ขอออกตัวก่อนครับว่า ความสำเร็จในที่นี้ ผมไม่ได้หมายความว่า เราเป็นธุรกิจรถเช่าเบอร์ 1 ของจังหวัดภูเก็ต หรือมีรถเช่ามากที่สุด เพราะเราคงมิบังอาจไปเทียบกับแบรด์ใหญ่ ทุนเยอะๆได้ แต่ผมคิดว่าที่ธุรกิจเราประสบความสำเร็จก็เนื่องจาก เรามีฐานลูกค้าที่มั่นคง และมีลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำเป็นจำนวนมาก ไม่ต่ำกว่า 60-70%
จริงๆแล้วผมเคยคิดหลายครั้งว่าอะไรคือปัจจัยแห่งความสำเร็จของธุรกิจของเรา เพราะสิ่งที่เราทำก็ธรรมดา ไม่ได้ผิดแปลกกว่าธุรกิจอื่น คือ การให้บริการที่ดี ซื่อสัตย์ และไว้ใจได้กับลูกค้า แต่ผมกลับพบว่า สิ่งที่ธรรมดานี่แหละคือสิ่งที่ไม่ธรรมดา และเป็นสิ่งที่บางคน บางบริษัททำไม่ได้ หรือทำได้ก็ไม่นาน
ทั้งๆที่ราคาของเราไม่ได้ถูกกว่าบริษัทรถเช่าเจ้าอื่น หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้ถูกที่สุดในตลาด แต่หลายครั้งลูกค้าก็ยังเลือกใช้บริการของเรา ทั้งๆที่รู้ว่ามีรถเหมือนกัน (ยี่ห้อ และรุ่นเดียวกัน) ในราคาที่ถูกกว่า เพราะปรัชญาในการทำธุรกิจของเรา ไม่ได้เน้นไปที่ของถูกที่สุด แต่เราพยายามให้ของดีกับลูกค้า ในราคาที่คุ้มค่า และไม่มีการหรอก หรือปิดบังลูกค้า
ผมคิดว่าการที่เราซื่อสัตย์และจริงใจนี่แหละทำให้เราได้ลูกค้ากลับมากใช้บริการซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อปลายปีที่ผ่านมา มีลูกค้าชาวอเมริกันซึ่งเคยใช้บริการของเราท่านหนึ่ง ได้ขอจองรถเช่าในช่วงปลายเดือนธันวาคม แต่เนื่องจากในช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมานี้ มีคนจองรถเช่าเยอะมาก ทำให้เราเหลือเฉพาะรถเก่า ผมก็ตอบลูกค้าท่านนั้นไปตามตรงว่า ตอนนี้เราเหลือเพียงรถเก่า ถัดจากนั้น 2-3 วัน ผมจึงรู้ว่าเขาได้ไปเช่ารถแบรด์ดังเจ้าหนึ่ง ผมคิดในใจว่า ผมคงเสียลูกค้าท่านนั้นไปแล้ว แต่เรื่องกลับไม่เป็นอย่างที่คิด ปลายเดือนมกราคม หลังจากลูกค้าท่านนั้นกลับไปอเมริกาแล้ว จึงได้อีเมล์มาของจองรถอีกครั้ง ครั้งนี้เขาจองรถล่วงหน้าไว้ถึง 12 เดือน คือสำหรับเดือนกรกฎาคม และเดือนธันวาคม เขาบอกว่าเขาประทับใจมาตรฐานการบริการของเรา ซึ่งดีกว่าอีกเจ้าหนึ่งมาก
ถ้าผมไม่บอกความจริงกับลูกค้า เพียงแค่รับจองเพื่อให้มีรายได้ ลูกค้าก็คงจะไม่ประทับใจที่ได้รถเก่า และคงไม่กลับมาเหมือนในกรณีนี้ จริงๆแล้วเหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดเป็นครั้งแรก เพราะครอบครัวของเราทำงานด้วยความซื่อสัตย์ และยึดความถูกต้องเป็นเกณฑ์มาโดยตลอด
ผมอยากให้เรื่องนี้เป็นตัวอย่างเล็กๆของความซื่อสัตย์ที่ทำให้เราทำธุรกิจได้ยาวนาน และความซื่อสัตย์นี่แหละครับ Key Success Factor ของธุรกิจของเรา ถีงแม้ว่าความซื่อสัตย์จะไม่ทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในทันที แต่ผมเชื่อว่า อย่างน้อยมันก็ทำให้เราสบายใจในทันที และจะส่งผลที่ดีให้เราเห็นอย่างแน่นอนในอนาคต
โครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ (NEC) จ.ภูเก็ต
วันที่ 24 ก.พ. – 5 มี.ค. 2553 ที่ผ่านมา ผมได้เข้าร่วมการฝึกอบรมของโครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ หรือ ชื่อภาษาอังกฤษว่า New Entrepreneurs Creation หรือเรียกย่อๆว่า NEC และคิดว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่มีประโยชน์มากสำหรับ SMEs อย่างเรา จึงมาเล่าสู่กันฟัง
โครงการ NEC ที่จังหวัดภูเก็ตนี้ เป็นโครงการของ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 10 จัดการสอนโดย ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการมีกิจการเป็นของตัวเองได้มาเรียนรู้วิธีการทำธุรกิจเบื้องต้น
กลุ่มเป้าหมายของโครงการนี้คือ
– กลุ่มผู้ว่างงาน
– กลุ่มที่เพิ่งจบการศึกษา
– กลุ่มทายาทธุรกิจ
– กลุ่มผู้ประกอบอาชีพ
– กลุ่มผู้ที่เริ่มประกอบธุรกิจไม่เกิน 3 ปี
วิชาที่สอน เช่น
– การจัดทำแผนการลงทุน และวิเคราะห์โอกาสการลงทุน
– การจัดการด้านการผลิต และบริการ
– การศึกษาวิจัยตลาด
– การสร้างทีมงาน
– การออกแบบบรรจุภัณฑ์
– ระบบภาษีอากร
– การวางแผนการตลาด
– ระบบบัญชี
– การวิเคราะห์ทางการเงิน และโครงสร้างต้นทุน
รวมถึงมีการให้ทำแผนการลงทุนจริง ซึ่งทำให้เราเข้าใจการทำธุรกิจมากยิ่งขึ้น หากเพื่อนๆสนใจ สามารถติดต่อหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต
ห้อง 1109 คณะเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต
ถนนวิชิตสงคราม ตำบลกะทู้ อำเภอกะทู้ จ.ภูเก็ต 83120
โทรศัพท์ 076-276412-3, เบอร์แฟกซ์ : 076-276411
Website: http://psu-bic-phuket.com
E – mail : info@psu-bic-phuket.com
ความรู้สึกส่วนตัว ผมคิดว่า การเข้าร่วมโครงการนี้ ทำให้เราเข้าใจการวางแผนในการทำธุรกิจมากขึ้น วิทยาการแต่ละท่านที่ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจเชิญมา ก็เป็นอาจารย์ที่มีประสบการณ์และให้ความรู้พวกเราได้ดีมาก รวมถึงการได้เพื่อนใหม่ที่จะเป็นพันธมิตรธุรกิจในอนาคต ผมประทับใจโครงการ NEC นี้มากครับ
ภูเก็ต: นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น แต่รายได้ลดลง
ผมได้อ่านข่าวใน Phuket Gazette เรื่อง “Phuket: More tourists, fewer baht” แล้วได้อ่านพบกับความเห็น ข้อติชมของนักท่องเที่ยวหลายคนที่เขียนเกี่ยวกับภูเก็ต แล้วทำให้รู้สึกตกใจ และคิดว่าคงเป็นอะไรที่พวกเราต้องตระหนัก และช่วยกันหาทางแก้ปัญหากันโดยเร่งด่วนเพื่อจะให้ภูเก็ตยังอยู่ในใจนักท่องเที่ยวต่อไป
เนื้อหาของข่าวก็มีอยู่ว่า “ฤดูกาลท่องเที่ยวของภูเก็ตปีนี้ (ปลายปี 2552- ต้นปี 2553) ภูเก็ตมีจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวมากขึ้น ยอดจองห้องพักในโรงแรมต่างๆมีมากถึง 90% แต่ รายได้กลับลดลง 30-40% เมื่อเปรียบเทียบกับ 1-2 ปีก่อน (ซึ่งมีการปิดสนามบิน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดมาก)”
หลังจากเนื้อหาก็มีความคิดเห็นมาย ส่วนมากจะเป็นไปในทางลบ จึงทำให้ผมรู้สึกตกใจมาก เช่น
– ค่าใช้จ่ายต่างๆแพงขึ้น จึงทำให้พวกเขาพยายามที่จะจ่ายน้อยลง
– คนไทยไม่ได้ต้องการนักท่องเที่ยว แต่ต้องการแค่เงินของเขา
– วีซ่าที่มีระยะเวลาสั้น ทำให้นักท่องเที่ยวไม่น้อยต้องกลับเร็ว
– ปัญหานักท่องเที่ยวรำคาญรถตุ๊กตุ๊ก
– หลายคนเชียร์ให้ไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านของเรา ว่าน่าจะคุ้มค่าเงินมากกว่า
– ฯลฯ
จริงๆแล้วประเด็นที่ผมอยากจะหยิบยกมาเล่าสู่กันฟังไม่ใช่เรื่องยอดจองโรงแรมมากขึ้น หรือว่ารายได้ของธุรกิจลดลง และผมก็ไม่ได้เช็คตัวเลขว่าเป็นจริงหรือไม่ (แต่ถ้าถามความรู้สึก และจากที่สอบถามเพื่อนๆ ปีนี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงปลายธันวาคม 2552 – กุมภาพันธ์ 2553 เพื่มขึ้นมากจริงๆครับ) ประเด็นที่อยากให้คิดถึงคือ ในความคิดเห็นที่อ่านเจอ ทำไมส่วนมากจึงเป็นความคิดเห็นในแง่ลบ หรือภูเก็ตกำลังอยู่ในช่วงถดถอยอย่างที่เขาพูด
ผมคิดว่าปัญหาหลายๆปัญหาน่าจะเกิดจากการไม่ตั้งใจแก้ปัญหาอย่างจริงจังของภาครัฐ เช่น เรื่องวีซ่า นักท่องเที่ยวที่ต้องการมาพักผ่อน ท่องเที่ยว ถูกจำกัดเวลาให้อยู่ในประเทศไทยได้ไม่นาน แต่กลับมีฝรั่งหลายคนกลับได้อยู่ที่งานแบบผิดกฎหมายในเมืองไทย
อีกส่วนหนึ่งก็เรื่องการไร้ระเบียบของคนไทยเอง คนไทยมักจะมีนิสัยสบายๆ จนหลายครั้งก็แยกแยะไม่ออกกับการขาดระเบียบวินัย และบางครั้งไปล่วงล้ำถึงสิทธิส่วนบุคคลของคนอื่น จนทำให้นักท่องเที่ยวรำคาญได้
เรื่องแพงหรือถูก ผมคิดว่าบางครั้งก็พูดยาก ถ้าคนในเอเซียด้วยกัน (บางประเทศ) มาเที่ยวก็อาจรู้สึกแพง แต่สำหรับฝรั่งจากยุโรป ค่าใช้จ่ายที่ภูเก็ตก็ยังถูกกว่าในประเทศของเขาเยอะ แต่จะให้ราคาข้าวของถูกลงได้ยังไง คนไทยเองยังกินข้าวราคาแพงขึ้นทุกปีเลย ผมคิดว่าปัญหาคือ ทำอย่างไรจะทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกคุ้มค่ามากกว่า
ผมคิดว่าเราน่าจะสร้างค่านิยมสำหรับการมาท่องเที่ยวภูเก็ต ว่าเป็นรางวัลของชีวิต ถึงจะมีราคาสูงก็คุ้มค่า ที่สำคัญเราต้องรักษาธรรมชาติของเราไว้ให้ได้ ทำให้ภูเก็ต สะอาด สะดวก ปลอดภัย
การฝังเข็ม แพทย์ทางเลือกสำหรับหลายโรค
หลังจากผมป่วยด้วยอาการหมอนรองกระดูกที่คอเสื่อม จึงทำให้หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท และวิธีการที่จะรักษาสำหรับแพทย์แผนปัจจุบันคือ การทำกายภาพบำบัด และการผ่าตัด พอได้ยินว่าต้องผ่าตัดก็ตกใจ เพราะค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และยังมีความเสี่ยงสูงอีกด้วย
หลังจากที่ผมรู้ตัวแล้วว่าต้องหาทางรักษาตัวเองอย่างจริงจัง เพราะโรคที่เป็นมันทำให้เจ็บ ทรมาน และมีโอกาสที่จะอาการหนักขึ้น ก็หาทุกวิธีที่น่าจะรักษาอาการได้ และแน่นอนครับ “การฝังเข็ม” คือการรักษาแบบหนึ่งที่ผมได้ลอง
จากวันที่รู้ว่าอาการปวดหลังของตัวเอง เกิดจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ถึงปัจจุบัน คุณหมอฝังเข็ม และจัดกระดูกให้ผมไปแล้วทั้งหมดประมาณ 12 ครั้ง จริงๆแล้วอาการปวดของผมลดลงอย่างชัดเจน หลังจากการฝังเข็ม ร่วมกับการจัดกระดูกไปประมาณ 4-5 ครั้ง โดยในปัจจุบันปัจจุบันแทบไม่มีอาการปวดหลังหลงเหลืออยู่ จะรู้สึกตึงๆที่หลังบ้างถ้าต้องทำงานหรือนั่งกับที่นานๆ โดยอาการตึงๆจะมากขึ้นในช่วงเย็น
โดยรวมแล้ว สำหรับผม ผมเชื่อว่าการฝังเข็ม ร่วมกับ การจัดกระดูก ช่วยให้ผมหายปวดได้ไว และได้ผลอย่างชัดเจน และน่าจะมีผลมากกว่าการบำบัดหรือการรักษาโดยวิธีอื่น ทั้วนี้ก็ต้องขอบคุณ คุณหมอซีฮาวอุย (Dr. Kingston C. H. Ooi) หรือชาวบ้านเรียกกันว่า หมออุย หมอใจดีที่ช่วยรักษาให้ผมหายได้ไวขนาดนี้
เดิมทีเดียวผมก็ไม่ได้มั่นใจนักกับการรักษาโดยการฝังเข็ม แต่ช่วงที่ผมลังเล ไม่แน่ใจว่าจะรักษาตัวด้วยวิธีการใดกันแน่ เพื่อนของคุณพ่อของผมท่านหนึ่ง ก็แนะนำผมอย่างแข็งขันว่าให้รักษากับหมออุย เป็นหมอที่ดี ตั้งใจรักษา และไม่เลี้ยงไข้ เพราะเพื่อนของคุณพ่อก็เจ็บจากอุบัติเหตุมานานหลายปี และรักษาด้วยการฝังเข็มกับหมออุยมาปีกว่าแล้ว อาการก็ดีขึ้นมาก ผมก็เลยตัดสินใจลองฝังเข็มกับหมออุยอย่างต่อเนื่อง ที่ต้องตัดสินใจก็เพราะการฝังเข็มต้องเสียค่าใช้จ่าย 1,000 บาทต่อครั้ง และไม่ใช่ว่าจะฝังเข็มครั้งเดียวแล้วหาย ต้องฝังเข็มต่อเนื่องหลายๆครั้ง รวมแล้วก็ใช้เงินไม่น้อย ในตอนนั้น ผมคิดว่ายังไงก็ดีกว่าผ่าตัด ทั้งถูก และปลอดภัยกว่า
ตลอดระยะเวลาที่ผมรักษากับหมออุย ผมก็ได้พบกับเพื่อนร่วมชะตากรรมหลายท่าน ทั้งอายุน้อยและอายุมาก เพื่อนร่วมชะตากรรมในที่นี้ผมหมายถึงคนที่ต้องป่วยกับโรคเรื้อรังต่างๆ ที่การแพทย์สมัยใหม่มักจะไม่สามารถรักษาได้ เช่น คนที่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุ แล้วไม่สามารถดำรงชีวิตแบบปกติได้ เมื่อได้รับการรักษาด้วยการฝังเข็มแล้ว อาการก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บางท่านตอนมารักษาใหม่ๆเดินไม่ได้ ญาติๆต้องช่วยกันหามมาหาหมอ แต่หลังจากฝังเข็มไปได้ประมาณ 1 เดือน ก็สามารถเดินได้ช้าๆโดยใช้ไม้เท้า และมีอีกหลายๆคนที่อาการดีขึ้นมาก
คุณหมออุย ปัจจุบันรักษาโรคด้วยการฝังเข็ม และวิธีแบบจีน มีคลินิกทั้งในกรุงเทพฯ และภูเก็ต โดยหมออุยจะอยู่ที่กรุงเทพฯ วันจันทร์ – วันพุธ และอยู่ที่ภูเก็ต วันศุกร์ – วันอาทิตย์
คลินิก ใน กรุงเทพฯ:
1112/45-46 ถ.สุขุมวิท48 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กทม.10110
โทร 02 712 2063-4
แฟกซ์ 02 712 2065
คลินิก ใน ภูเก็ต:
รพ.สิริโรจน์ แผนกฝังเข็มและแพทย์ทางเลือก
โทร 076361818, 076249400 ต่อ 2222
มือถือ 0891440565
คลินิก 0890619609
เว็บไซต์: www.kingston-medical.com
ผมเขียนบทความนี้ก็เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ให้กับเพื่อนๆ เผื่อใครมีปัญหาที่บางครั้งอาจรักษาไม่ได้ด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน การฝังเข็มก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าลอง และก็ต้องขอขอบคุณหมออุยด้วยความจริงใจไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
เรื่องของการเช่า การตั้งราคาค่าเช่า
เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา มีรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ได้โทรศัพท์มาถามผมเกี่ยวกับการตั้งราคาค่าเช่าทรัพย์สินว่ามีหลักการอย่างไร อาจจะเห็นว่าครอบครัวผมทำอะไรเกี่ยวกับการเช่าเยอะ ทั้ง รถเช่า บ้านเช่า ห้องเช่า (โรงแรม) ผมก็เลยถือโอกาสนี้แบ่งปันประสบการณ์ของผมแล้วกัน เผื่อจะมีประโยชน์กับหลายๆท่าน
อันที่จริง หลังจากผมได้รับคำถามนี้ผมก็เงียบไปพักหนึ่ง ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะราคาค่าเช่าที่เราใช้กันอยู่ ก็อยู่บนพื้นฐานที่คุณพ่อคุณแม่ของผมคิดเอาไว้ตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจ ผมก็จำเป็นต้องขอความรู้จากคุณพ่อผมอีกต่อหนึ่ง เอาเป็นว่าผมจะเขียนจากความรู้และประสบการณ์ของครอบครัวแล้วกันนะครับ อาจจะถูก หรืออาจจะผิดก็ได้ แต่ก็เป็นวิธีการที่ทำให้เราทำธุรกิจ และฝ่าฟันมาได้กว่า 30 ปีครับ
การจะตั้งราคาค่าเช่าทรัพย์สินอย่างไร มันคงต้องคำนึงถึงหลายอย่าง
1. คิดเรื่องการคืนทุน
แน่นอนครับ การให้เช่าคือการทำธุรกิจอย่างหนึ่ง ต้องคิดว่าจะคืนทุนเมื่อไหร่ หรือ ระยะเวลาคืนทุนเท่าไหร่เราจึงจะพอใจ การคิดเรื่องการคืนทุนนี้ก็เกี่ยวข้องกับหลายๆปัจจัยครับ เช่น
– อายุการใช้งานของทรัพย์สิน และ อัตราการเสื่อมของทรัพย์สิน ถ้าทรัพย์สินมีอายุการใช้งานสั้น ก็ต้องคิดค่าเช่าให้คืนทุนเร็วๆ เช่น การให้เช่ารถยนต์ สมมุติว่ารถยนต์มีอายุการใช้งาน 5 ปี เราก็ควรคิดค่าเช่าให้คืนทุนใน 5 ปี แต่ถ้าทรัพย์สินใดมีอายุการใช้งานนานๆ ก็อาจคิดค่าเช่าให้คืนทุนนานขึ้น เช่น การให้เช่าบ้าน ปกติไม่สามารถที่จะทำให้คืนทุนเร็ว เช่น ภายใน 7-10 ปี ยกเว้นมีตลาดเฉพาะ เป็นที่ต้องการของคนเฉพาะกลุ่ม หรือทำการตลาดเก่งๆ (อันนี้จากประสบการณ์ในปัจจุบันของผมนะครับ)
– ค่าบำรุงรักษา อันนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้องนำมาคิดครับ เช่น หากจะให้เช่ารถ เราจะคำนึงถึงแต่ ค่าผ่อนรถในแต่ละเดือนไม่ได้ แต่ต้องรวมถึงค่าใช้จ่ายในการตรวจ และซ่อมบำรุงตามระยะทาง ค่าประกัน ค่าทะเบียนรถ ฯลฯ
– ค่าจ้างแรงงาน ค่าแรง ค่าบริหาร ค่าใช้จ่ายส่วนนี้อาจไม่ได้เป็นค่าใช้จ่ายโดยตรง แต่เราก็ไม่ควรที่จะลืมคิด โดยทั่วไปแล้วผู้ประกอบการส่วนมาก มักจะลืมคิดค่าแรงตัวเอง เพราะคิดว่าได้มันมาฟรีๆ
2. อุปสงค์ อุปทาน (Demand & Supply)
อันนี้ก็ตรงๆครับ ถ้าสินค้าหรือทรัพย์สินของเรา ยังไม่เคยมีใครนำมาให้เช่า แต่เป็นที่ต้องการของตลาด ก็จะสามารถให้เช่าได้ในราคาสูง พอมีคนอื่นเห็นว่าธุรกิจที่เราทำนั้นดี ก็จะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้น ก็ทำให้ราคาค่าเช่าลดลง เพราะฉะนั้น เรื่องอุปสงค์ อุปทานของสินค้าหรือทรัพย์สินนั้นๆก็มีผลอย่างมากต่อราคาค่าเช่า
3. ปัจจัยอื่นๆ
นอกจากหัวข้อข้างต้นแล้ว ผมคิดว่าการตั้งราคาอาจจะต้องมีอีกหลายปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจไม่สามารถเขียนได้ครบทั้งหมด ผมจะเขียนเท่าที่คิดได้แล้วกันนะครับ เช่น
– ความเสี่ยง เช่น การให้เช่ารถ ก็ต้องเสี่ยงมากกว่า การให้เช่าบ้าน รถอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย หรือถูกขโมย แต่บ้านคงไม่มีใครขโมยบ้านจากที่ดินของเราไปได้ มีหลายคนถามผมว่ารถหายด้วยหรือ ผมก็ตอบไปว่าทำธุรกิจทั่วไปก็มีโดนโกง เช่ารถก็เหมือนกัน ก็เป็นเรื่องปกติ
– โอกาสที่ทรัพย์สินเราจะถูกเช่า (Occupancy Rate) เช่น ใน 1 ปี ทรัพย์สินของเราจะถูกเช่าสักกี่วัน ถ้านานๆจึงจะมีคนเช่าสักครั้งหนึ่ง แน่นอนราคาค่าเช่าก็ต้องสูง เช่น ทรัพย์สินที่ผู้เช่าต้องการเป็นครั้งคราว หรือตามฤดูกาล แต่ถ้าทรัพย์สินของเราเป็นที่ต้องการของคนทั่วไปอยู่แล้ว มีคนเช่าเยอะ ก็อาจจะให้เช่าในราคาถูกลง
ยกตัวอย่างเช่น บ้านพักตากอากาศ อาจจะให้เช่าได้เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ หรือช่วงวันหยุดยาว ราคาค่าเช่าถ้าคิดเป็นวันก็อาจจะแพง แต่ถ้าเป็นบ้านเช่าทั่วไป มีคนเช่าเป็นเดือน หรือเป็นปี ค่าเช่าเมื่อเฉลี่ยออกมาเป็นรายวันก็จะถูก
– เรื่องของจิตใจ อันนี้อาจไม่ค่อยเกี่ยวกับธุรกิจมากนัก แต่ก็ทำให้หลายคนเลิกจากอาชีพนี้ เนื่องจากทรัพย์สินที่นำมาให้เช่าส่วนใหญ่จะมีมูลค่าสูง เราก็ต้องหามาตรการที่จะดูแลทรัพย์สิน การที่ให้ใครที่เราไม่รู้จัก เช่าหรือเอาทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงของเราไปใช้ เพื่อแลกกับเงินไม่กี่บาท (เมื่อเทียบกับมูลค่าทรัพย์สิน) มันก็ต้องทำใจให้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ตามสถิติของผม รถป้ายแดงที่นำมาให้เช่า มักมีรอยขูดขีด หรือบุบ ทั้งๆที่ยังไม่ทันได้เปลี่ยนป้ายเลย เป็นเรื่องปกติที่ต้องทำใจรับให้ได้
ปัจจัยต่างๆที่ผมคิดได้ในตอนนี้ก็เท่านี้หละครับ ถ้ามีโอกาส จะได้แบ่งปันเรื่องอื่นต่อไป หากสนใจหาความรู้เพิ่มเกี่ยวกับรถเช่า ก็เชิญได้ที่ http://www.PhuketCarRent.info ครับ ถ้าใครสนใจเช่ารถ อย่าลืมลองใช้บริการ เพียวคาร์เร้นท์ หรือ หาบ้านเช่าในภูเก็ต ก็ลองดูที่ เพียววิลล่า หรือ หาโรงแรมราคาประหยัด ในตัวเมืองภูเก็ต ก็ เพียวแมนชั่น ครับ