ในรอบปีที่ผ่านมาผมประสบกับปัญหามากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เป็นรอบปีที่ผมคิดว่า ผมเจอสิ่งที่มากระทบใจมากที่สุดปีหนึ่งตั้งแต่เกิดมา แต่ผมก็รู้สึกดีใจ และภูมิใจในตัวเองที่สามารถผ่านสิ่งที่เลวร้ายมาได้ ถึงแม้ว่าจนกระทั่งปัจจุบัน ผมยังไม่สามารถแก้ปัญหาบางข้อได้ แต่อย่างน้อย ผมก็สามารถผ่านปัญหา และใช้ชีวิตตลอด 1 ปีที่ผ่านมาได้อย่างมีความสุข
ผมอยากแบ่งปันประสบการณ์ที่ผ่านมาให้กับเพื่อนๆ ผมไม่ได้หวังว่าทุกท่านจะได้อ่านมัน เพียงแค่คนสักคนที่มีปัญหา และวิธีหรือแนวคิดที่ผมใช้มีประโยชน์สำหรับเขา ผมก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วที่ผมเขียน
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมผ่านปัญหามาได้ ก็เพราะผมได้มีเจอธรรมะ เรียกได้ว่ามาแบบถูกเวลาจริงๆ ผมจะค่อยๆอธิบายเป็นข้อๆให้เข้าใจง่ายนะครับ
* ทำงานกับใจ
“ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” เป็นคำพูดที่คงไม่มีใครปฏิเสธได้ เมื่อมีปัญหาเข้ามาในชีวิต อาจทำให้หลายคนเซไปเลย ถ้าเราไม่มีหลักคิด สำหรับผมเอง ผมต้องหาเป้าหมายก่อน ไม่ต้องคิดถึงร้อยพันปัญหาที่ทำให้เราล้ม แต่หาเหตุผมสักข้อว่าทำไมเราต้องลุก
การศึกษาธรรมะช่วยผมได้มากในข้อนี้ เพราะทำให้ผมนิ่งขึ้น รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่จะมากระทบใจเราได้ เมื่อเรารู้ว่ามันคือสิ่งที่มากระทบใจ และเราไม่รับมันไว้ มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ มนุษย์ธรรมดาอย่างเรา แม้ไม่สามารถลดสิ่งกระทบใจได้ทุกเรื่อง แค่ลดได้บ้าง ก็ยังดีกว่าลดไม่ได้เลย
* กัลยาณมิตร
กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ บางครั้งเวลาเราเจอปัญหาที่รุนแรง ที่เราไม่คาดถึง เกินกว่าที่ใจเราจะรับไหว (เหมือนปกติ เราสร้างบ้านริมหาด เราก็คิดเฉพาะป้องกันปัญหาคลื่นลม แต่วันดีคืนดี สึนามิด้นพัดมาโดนบ้านเราซะงั้น) กัลยาณมิตรจึงเป็นสิ่งสำคัญ กัลยาณมิตรเป็นได้ทั้งเพื่อน พ่อแม่ พี่น้อง คู่สมรส ลูกของเรา ทุกคนเป็นกัลยาณมิตรที่ดีได้ ถึงแม้ว่าเขาอาจช่วยอะไรเราไม่ได้เลยก็ตาม แต่สิ่งที่เขาให้ได้คือ กำลังใจ ซึ่งสำคัญยิ่งเหนืออื่นใด
ยกตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งผมเคยได้รับกำลังใจอย่างมหาศาลจากลูกชายวัย 6 ขวบ ลูกชายเพิ่งจะนับเลขเป็น และรู้จักเงินมาไม่นาน
อยู่ดีๆลูกก็ถามว่า “พ่อมีหนี้เท่าไหร่”
ผมก็บอกว่า “หลายล้านบาทเลยลูก”
ลูกคิดนิดหนึ่งแล้วก็บอกว่า “ผมมีเงินไม่ถึงล้าน มีแค่พันกว่าบาท ถ้าพ่อจะเอาไปใช้ก่อนก็ได้นะ”
แค่นี้เองกำลังใจของเราก็เอ่อท้นท่วมขึ้นมาถึงคอแล้ว และผมยังเจอคนอีกหลายคนที่ประสบปัญหาอย่างหนักในชีวิต แล้วต่อสู้ทนเหนื่อยมาได้เพราะกำลังใจจากลูก
แม้คนที่ตายไปแล้วก็ยังให้กำลังใจเราได้ ผมโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน จึงทำให้เราต้องอดทน คุณยายขายขนมเลี้ยงครอบครัว ได้กำไรเป็นเศษสตางค์ แต่สามารถกู้สถานการณ์ของครอบครัวเราให้ลืมตาอ้าปากได้ แม้ท่านจะตายไปแล้ว แต่ท่านก็ไม่เคยตายไปจากใจผม หลายครั้งที่ผมหมดกำลังใจ ผมก็ได้คุณยายนี่แหละครับ เป็นตัวอย่างในการสู้ชีวิต และเป็นกำลังใจเสมอมา
* ทัศนคติบวก หรือ คิดบวก
ทัศนคติบวก หรือ การคิดบวก อาจจะไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา แต่เป็นทิศทางในการแก้ปัญหา มันจะทำให้เราแก้ปัญหาถูกทางและมีความสุข ผมเคยช่วยพี่สาวท่านหนึ่งแก้ปัญหา และเขียนเรื่องนี้ไว้ที่ คิดบวก ชีวิตมีความสุข ผมคิดว่าคงเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับทุกท่าน จริงๆครับ บางครั้งแค่เปลี่ยนความคิดนิดเดียว เราก็มีความสุขแล้ว คือคิดให้เป็น คิดให้ถูกทาง
* มุมมองต่อปัญหา
น่าแปลกครับ บางครั้งแค่เราขยับไปยืนคนละมุม หรือต่างองศาเพียงเล็กน้อย เราก็แก้ปัญหาได้แล้ว
ผมมีตัวอย่างหนี่งอยากแบ่งปันกับทุกท่าน มีร้านขายจานดาวเทียมอยู่ร้านหนึ่ง พอติดตั้งจานดาวเทียวให้กับลูกค้าเรียบร้อยแล้ว มักจะมีปัญหาว่าภาพไม่ชัด พนักงานติดตั้งก็ไม่ค่อยอยากไปบริการลูกค้าหลายครั้ง ทำให้เจ้าของร้านหนักใจ เขาแค่เปลี่ยนมุมมองการคิดว่า ตอนนี้บริษัทของเราไม่ได้ “ขายจานดาวเทียม” แต่ขาย “ทีวีรับชัด” เมื่อมุมมองต่อปัญาเปลี่ยนไป วิธีแก้ปัญาหก็เปลี่ยนไป เมื่อก่อนขายจานดาวเทียม เมื่อติดตั้งเสร็จ ความรู้สึกของพนักงานคือ ได้ส่งมอบสินค้าแล้ว แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นขายทีวีรับชัด พนักงานก็ทำทุกวิถีทางให้ทีวีรับสัญญาณได้ชัด ลูกค้าก็พอใจ
* Divide & Conquer
อันนี้ขอใช้ภาษาอังกฤษนะครับ เพราะเป็นเทคนิคที่ผมได้มาตอนเรียนวิศวะ จุฬาฯ ในทางวิศวกรรม หลายครั้ง ปัญหามันใหญ่เกินกว่าจะคิดและแก้ไขได้ง่ายๆ เทคนิค Divide & Conquer คือ การที่เราแบ่งปัญหาใหญ่ๆ เป็นปัญหาย่อยๆเล็กๆ แล้วค่อยๆแก้ไขปัญหาย่อยๆเล็กๆทีละปัญหา เราก็จะสามารถแก้ปัญหาใหญ่ได้ในที่สุด
ยกตัวอย่างเช่น การที่ Mr. Steve Jobs คิดผลิต Ipod มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยในเวลานั้น (ไม่งั้นบริษัทอื่นก็คงคิดประดิษฐ์ออกมาแล้ว) สิ่งที่ทำให้มันเป็นไปไม่ได้คือ การย่อให้คอมพิวเตอร์เล็กลงนั้นเป็นสิ่งที่เป็นเรื่องยาก และยังติดปัญหาเรื่องการระบายความร้อนด้วย (ลองคิดดู เมื่อก่อน เครื่องคอมพิวเตอร์ใหญ่ๆ มีระบบระบายความร้อนดีๆ ยังต้องอยู่ในห้องแอร์เลย ไม่งั้นมันจะร้อนจนทำงานไม่ได้) วิศวกรของ Mr. Steve Jobs ก็บอกว่าไม่น่าจะทำได้
แต่ Mr. Steve Jobs กลับบอกว่าไม่ต้องสนใจเรื่องปัญหาความร้อน ให้คุณคิดแค่ทำอย่างไรจึงจะทำให้คอมพิวเตอร์เล็กลง (เหลือเท่า Ipod) ส่วนเรื่องความร้อนผมจะให้อีกทีมหนึ่งหาวิธีแก้ไขเอง พอเขาแบ่งปัญหาใหญ่เป็น 2 ปัญหาย่อย เขาก็แก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น
* ข้อจำกัด หรือ อุปสรรค
ต้องยอมรับจริงๆครับว่าบางปัญหาเราแก้ไม่ได้จริงๆ เพราะมันติดข้อจำกัดบางอย่างของตัวเราเอง ของสังคม ของเทคโนโลยี แต่เราต้องแยกให้ออกว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นข้อจำกัดจริงๆ หรือเป็นอุปสรรคกันแน่ ถ้าเป็นอุปสรรคที่มันแก้ยากจนเราคิดว่าเป็นข้อจำกัดแล้ว โดยมากเราจะคิดเองไม่ออก ถ้าเราไม่มายืนในจุดที่แตกต่าง หรือ มีคนนอกมาช่วยดูและแก้อุปสรรคนั้น เพราะฉะนั้นทางที่ง่ายคือ หยุดพัก แล้วค่อยๆพิจารณา หรือหาที่ปรึกษา
ส่วนข้อจำกัดที่เป็นข้อจำกัดจริงๆ ให้พึงระลึกว่า ข้อจำกัดในวันนี้ อาจมีอะไรที่มาแก้ไขได้ในวันข้างหน้า มันอาจไม่ใช่ข้อจำกัดตลอดไป เช่น ผมเคยดูหนัง Avatar และเคยได้ยินว่า ผู้สร้างเขาเขียนเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว แต่ด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยีในตอนนั้น จึงไม่สามารถทำให้สร้างสรรฝันของเขาให้เป็นจริงได้ ปัจจุบันเทคโนโลยีดีขึ้น เขาจึงสร้างฝันให้เป็นจริงได้
* อย่าตอกย้ำปัญหา
บางเครั้งปัญหา หรือความไม่เข้าใจกันนิดเดียวก็ทำให้ปัญหาเล็กๆเป็นปัญหาใหญ่ได้ เปรียบเหมือนเราเป็นแผลเพราะมีเข็มมาทิ่ม เราก็เป็นแผลเล็กน้อย แต่ถ้าเรายังเอาเข็มทิ่มตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก แผลนั้นไม่มีวันหายแน่ ซ้ำร้ายยังอาจทำให้เราแย่กว่าเดิม
บางครั้งเป็นเพียงเพราะทิฏฐิในใจของเรา ทำให้เราผูก ไม่ปล่อยวาง ก็ทำให้เราเจ็บ ปัญหาจึงยังคงอยู่ในใจเรา ข้อนี้ธรรมะก็ช่วยเราได้มาก คิดไว้ว่า ถ้าแก้ใครไม่ได้ ก็แก้ที่ตัวเองก่อน