หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็น
ผมต้องตกใจตั้งสติแทบไม่ทัน เมื่อรู้จากหมอว่าตัวเองเป็นโรคยอดฮิตของคนสูงอายุ “หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท” ทั้งๆที่เราไม่น่าจะเป็นโรคนี้เมื่ออายุแต่สามสิบต้นๆ
อาการปวดหายไป 2 ปี จนเมื่อ 3-4 สัปดาห์ที่แล้ว ผมเริ่มปวดอีกครั้ง อาการก็เริ่มปวดบริเวณสะบักด้านซ้าย แล้วค่อยๆปวดลงไปที่แขนซ้ายด้านหลัง อาการเป็นเหมือนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมก็ไม่หนักใจอะไรมาก เพราะคิดว่าคงไปนวดและก็น่าจะหายเหมือนเดิม ทุกครั้งที่ผมไปนวดอาการก็ดีขึ้นจริงๆครับ แต่ 2-3 วันมันก็เจ็บขึ้นมาอีก ผมจึงลองหาทางอื่นที่จะทำให้หายเจ็บ คุณแม่ยายก็แนะนำให้ไปลองตรวจที่คลีนิคกายภาพ หมอที่คลีนิคกายภาพ หมอก็ลองให้ผมขยับแขนขึ้นลง ทำท่าทางต่างๆ แล้วหมอก็บอกว่า น่าจะเป็นเพราะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ไม่เชื่อก็ให้ลองไปเอ็กซเรย์ดูได้
ผมก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อหรอกครับ เพราะหมอก็อธิบายทุกอย่างแบบมีเหตุ มีผล แต่ก็อยากจะตรวจดูให้ชัดๆ ก็เลยลองไปโรงพยาบาลสิริโรจน์ เพื่อตรวจดูอย่างละเอียดอีกที ก็ได้เจอกับหมอสมศักดิ์ ที่เป็นหมอเชี่ยวชาญด้านกระดูก ตอนแรกคุณหมอก็ให้ไปเอ็กซเรย์ช่วงคอ คุณหมอก็พบความผิดปกติอย่างหนึ่งคือ ปกติกระดูกคอจะโค้งไปทางด้านหลัง แต่ของผมกลับตรงและงุ้มมาทางข้างหน้าเล็กน้อย หมอก็ถามว่า ผมเคยประสบอุบัติเหตุอะไรหรือไม่ ผมก็ตอบว่าไม่เคย หลังจากนั้นคุณหมอก็ส่งผมไปทำ MRI ที่โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตในวันเดียวกัน ผมเดาว่าเพื่อให้เห็นการกดทับที่ชัดเจนขึ้น
วันรุ่งขึ้นผมก็ได้พบหมออีกครั้ง และหมอก็บอกว่าอาการของผมนั้นเกิดจาก หมอนรองกระดูกที่คอประมาณชิ้นที่ 5-7 ทับเส้นประสาท โดยหมอนรองกระดูกมันปลิ้นออกมาแล้ว และทางที่จะรักษาให้หายทางเดียวก็คือต้องผ่าตัด โดยต้องผ่า 2 ที่ คือที่สะโพก และที่คอ ผ่าสะโพกเพื่อเอากระดูกสะโพกมาแปะไว้ที่คอ หัวใจผมไม่ได้หล่นไปที่ตาตุ่มนะครับ แต่มันเหมือนหล่นหลุดไปจากร่างไปเลย งงบตัวเองอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ทำไงได้ก็มันเป็นแล้วนี่ หลังจากวันนั้นผมก็ต้องทำกายภาพบำบัดต่อเนื่องมา
สองวันหลังจากได้ทำกายภาพบำบัด ก็บังเอิญได้เจอกับพี่อนุรักษ์ขณะกำลังรอลิฟต์ หลังจากนั้นได้คุยกับพี่อนุรักษ์ พี่อนุรักษ์ก็แนะนำว่าที่โรงพยาบาลสิริโจน์เพิ่งจะมีหมอจัดกระดูก ถ้าผมสนใจก็จะนัดให้ ผมคิดว่าผมไม่อยากผ่าตัด ถ้ามีทางไหนที่ลองได้ก็อยากลองทั้งนั้น ก็เลยรอพบอหมอจัดกระดูก
หมอจัดกระดูกชื่อ Dr. Joe น่าจะเป็นชาวอเมริกัน ผมก็เอาฟิล์ม MRI ให้หมดดู แล้วผมก็ถามหมอตรงๆว่า ถ้าผมจัดกระดูกกับหมอแล้ว ผมไม่ผ่าตัดได้ไหม หมอก็บอกว่า “อาจจะไม่ได้” แต่สิ่งที่อาจเป็นไปได้คือ อาจช่วยยืดการผ่าตัดออกไป โดยอาจไม่จำเป็นต้องผ่าตอนนี้ แต่อาจเป็นอีก 2 ปี, 5 ปี, 10 ปี หรือ 20 ปี ขึ้นอยู่กับตัวผมเองว่าตอบรับการรักษาได้ดีแค่ไหน สิ่งที่หมอ Joe พูดคือ เราควรจะยืดการผ่าตัดให้ได้นานที่สุด เพราะอย่างน้อยเทคโนโลยีด้านการผ่าตัดในอนาคต ย่อมน่าจะดีและปลอดภัยกว่าในปัจจุบัน ก็เป็นทัศนะที่ดี และผมก็เห็นด้วย
หลังจากออกจากโรงพยาบาล ภรรยาสุดที่รักก็ให้ผมไปลองตรวจกับหมอบุญเลิศ เพราะเป็นหมอด้านประสาทที่เก่งคนหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ผมเองด้วยความรักและยำเกรงก็ไป ตามคำสั่งโดยดี (ล้อเล่น) คุณหมอก็บอกว่าเป็นมากเหมือนกัน ต้องผ่าตัด แต่คราวนี้มีให้เลือก 2 แบบ คือ แบบแรกคือเอากระดูกสะโพกมาแปะที่คอให้ มันแข็งไว้ กระดูกคอจะได้ไม่กดทับ แบบที่2 คือ ต้องใส่หมอรองกระดูกเทียม ซี่งใบหนึ่งราคาประมาณ 1 แสนบาท และที่รู้ๆผมต้องใส่ไม่ต่ำกว่า 2 ใบ แต่เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผม เรื่องใหญ่คือไม่มีเงิน ไม่ใช่ครับ ประเด็นคือการผ่าตัดนั้น ผลก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ หมอบอกว่ามีโอกาสพลาด 20% ไม่ได้หมายความว่าหมอพลาด แต่ผลอาจไม่แน่นอนจนอาจถึงชีวิตได้ หมอบอกว่านี่เป็นสถิติทั่วโลก จึงอยากให้การผ่าตัดเป็นทางเลือกสุดท้าย คุณหมอจึงสั่งให้ผมทำกายภาพบำบัดต่อเนื่อง แล้วค่อยมาดูอาการกันอีกที
ที่ผมเขียนมาตั้งนานจนถึงตอนนี้ ก็อาจจะเตือนเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกคน ไม่อยากให้เป็นเหมือนผม ผมเจอหมอทุกคน ทุกคนก็มักจะถามผมว่าเคยประสบอุบัติเหตุอะไรหรือไม่ ผมคิดแล้วคิดอีกก็น่าจะไม่เคย และก็บอกว่าปกติโรคนี้ไม่น่าจะเป็นในขณะที่อายุเพียงแค่นี้ หลังจากที่ผมได้คิดแล้ว ก็น่าจะพอสรุป ณ ตอนนี้ได้ว่า น่าจะเป็นเพราะผมทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานๆโดยไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถ เพราะกระดูกคอของผมแทนที่จะแอ่น ไปด้านหลังเหมือนคนทั่วไป และกลับตรงและงอมาหน้าเล็กน้อย บวกกับการไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แถมยังทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่อีก เลยทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอ เป็นอย่างนี้สะสมมากว่าสิบปี จึงทำให้ป่วยเพราะความละเลย และความประมาทของตัวเอง