สวนโมกข์ @ จตุจักร กทม.

ในการไปเรียนสมาธิที่วัดธรรมมงคลช่วง 2 เดือนที่แล้ว นอกจากวัดธรรมมงคลแล้ว ที่ๆผมไปบ่อยที่สุดก็คือ สวนโมกข์ ที่อยู่บริเวณสวนรถไฟ หลังสวนจตุจักร ถ้าถามว่าทำไมจึงชอบที่นี่ อยากจะตอบว่าถ้าท่านไปก็จะรู้เอง แต่จริงๆก็คือ ที่สวนโมกข์เป็นที่ๆมีความสงบใจกลางเมืองหลวงซึ่งหาได้ยาก การออกแบบและสร้างอาคารอย่างลงตัวควบคู่ไปกับการออกแบบต้นไม้ การออกแบบภูมิสถาปัตย์อย่างลงตัว ซึ่งทำให้เราอยู่ในบรรยากาศใกล้ชิดกับธรรมชาติแบบไม่ลำบาก

ชอบภาพพุทธศิลป์หลายภาพที่ประดับไว้ ทุกภาพล้วนมีความหมาย ครั้งแรกอาจต้องอาศัยผู้นำทัวร์ของสวนโมกข์เป็นผู้อธิบาย แล้วท่านก็จะได้รับรู้ถึงธรรมะอันลึกซึ้งที่แฝงอยู่ในภาพ

ชอบประติมากรรมที่มีอยู่มากมายทั่วบริเวณ ทุกชิ้นงานล้วนสื่อความหมาย แม้กระทั่งก้อนหินที่ตั้งไว้ ยังบ่งบอกถึงข้อธรรมะนานัปการ ปติมากรรมหลายชิ้นก็จำลองมาจากของจริงที่ประเทศอินเดีย และที่สวนโมกข์ จ.สุราษฎร์ธานี

ชอบห้อง”นิพพานชิมลอง” ทำให้เรารู้ว่านิพพานอยู่ใกล้แค่จมูก อยากสงบ อยากมีความสุข แท้จริงไม่ยาก ห้องนี้เหมือนให้เราลองสินค้าตัวอย่างที่ลองแล้วอยากจะมีไว้จริงๆ

หากรู้สึกว่าชีวิตวุ่นวาย อยากพัก อยากหยุดสัก 2-3 ชั่วโมงหรือครึ่งวัน ที่นี่เป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่หนึ่งทีเดียว

ปัจฉิมนิเทศ นักศึกษาครูสมาธิ รุ่น 30

พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร เปรียบเสมอว่าการที่เราได้มาเรียนร่วมกันเหมือนกับเราเรือลำเดียวกัน ได้มาร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน โดยที่ท่านเป็นกัปตันเรือ เราก็เป็นผู้โดยสาร อาจารย์และพี่เลี้ยงก็คงเปรียบเหมือนพนักงานบนเรือ มีวันที่ฝนตก น้ำท่วม ก็ต้องลุยน้ำกันมาเรียนด้วยจิตศรัทธา แต่การที่หลวงพ่อเปรียบว่าเราได้มาอยู่บนเรือลำเดียวกันนั้นมีความหมายยิ่งใหญ่กว่าการที่เราได้มาร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน การที่ได้ลงเรือลำเดียวกันนั้นท่านยังหมายถึงการที่เราได้ถึงจุดหมายปลายทางพร้อมๆกันดังเช่นวันนี้ ตอนขึ้นเรือ บางคนอาจจะพร้อม บางคนไม่พร้อม บางคนเศร้า บางคนสดใส บางคนนั่งสบายๆ บางคนกระสับกระส่าย แต่เมื่อเราเดินทางมา 6 เดือน ทุกคนก็ถึงจุดหมายพร้อมกัน

พระอาจารย์หลวงพ่อเปรียบเหมือนผู้ที่ฝึกให้เราหาเพชรและเจียระไนเพชร ไม่ใช่เพชรที่ไหน เพรชรในตัวของพวกเราเอง เพชรในตัวของเรามันมัวหมองปกคลุมไปด้วยโคลนตม ท่านก็สอนวิธีที่จะกำจัดโคลนตมออกทีละเล็กทีละน้อย สอนให้รู้ถึงคุณค่าของเพชร สอนให้รู้ว่ามันมีค่ามากแค่ไหน สอนให้เรารู้วิธีเจียระไนเพชรทีละเหลี่ยม ให้วิธีที่จะเจียระไนเพชรจนสำเร็จ ถึงแม้ว่าการเจียระไนเพชรของเราตอนนี้เพิ่งอยู่ในขั้นตอนของการเริ่มต้นเจียระไน แต่เราก็รู้ว่าหากจะเจียระไนให้เสร็จเราจะต้องทำอย่างไร Read more »

ประทีปเด็กไทย: โครงการสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยพระธรรมมงคลญาณ

วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปร่วมทำบุญบริจาคเงินให้กับโครงการประทีปเด็กไทย จริงๆอยากทำมาตั้งนานแล้ว เพราะความฝันอันหนึ่งของผมคือ อยากสร้างโรงเรียน เคยคิดกับตัวเองว่าถ้าเรามีเงินเยอะๆเราจะช่วยสังคมอย่างไร สำหรับผม การศึกษาคือคำตอบ เพราะผมคิดว่าการให้การศึกษาแก่เยาวชนจะช่วยแก้ปัญหาหลายอย่าง เช่น ถ้าเด็กมีความรู้เรื่องโภชนาการและสุขลักษณะ ปัญหาด้านสาธารณสุขก็ลดลง ถ้าเขามีความรู้พอที่จะมีอาชีพ ปัญหาเด็กเร่ร่อน การถูกหลอก การถูกเอารัดเอาเปรียบก็จะลดลง ปัญหาหลายปัญหาในประเทศเราแก้ได้ด้วยการศึกษา ถึงแม้ว่าความจริงแล้วที่ถูกต้องควรจะเป็นการศึกษาบวกกับศีลธรรม แต่ยังไงพื้นฐานก็คือการศึกษา

ตอนนี้ผมยังไม่มีเงินที่จะสร้างโรงเรียนให้เด็กๆ แต่สิ่งที่ทำได้คือร่วมเป็นอีกกำลังเล็กๆที่ช่วยให้โครงการประทีปเด็กไทยซึ่งเป็นโครงการสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ก่อตั้งโดยพระธรรมมงคลญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร) มีจุดประสงค์เพื่อให้เด็กในวัย 2-6 ขวบ ได้รับการพัฒนาทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา อย่างถูกต้องและเหมาะสม

ในวันอาทิตย์ผมได้คุยกับเจ้าหน้าที่โครงการประทีปเด็กไทย เธอเล่าให้ฟังว่าตอนนี้ยังมีโรงเรียนรอคิวที่จะขอทุนเพื่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอีกกว่า 20 โรงเรียน ผมจึงรับปากกับเธอว่าจะนำเรื่องราวของโครงการนี้ช่วยเผยแพร่ เผื่อเป็นอีกหนึ่งแรงที่จะช่วยกันพัฒนาเยาวชนของชาติ ผู้ที่เราจะฝากประเทศของเราไว้ในอนาคต

ผู้ที่สนใจ สามารถติดต่อทำบุญได้ที่
1. สถาบันพลังจิตตานุภาพ วัดธรรมมงคล สุขุมวิท101 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ 10260
โทร 02 730 5827, 02 311 3903, 02 311 1387
โทรสาร 02 741 7841, 02 741 7821
2. โอนเงินเข้าบัญชี ธนาคารกสิกรไทย สาขาบางจาก บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 035-2-70147-5 ชื่อบัญชี โครงการประทีปเด็กไทย (วัดธรรมมงคล) แล้วแฟกซ์ใบนำฝากหรือถ่ายสำเนาใบโอนเงินให้กับโครงการ

เอาคืน

เคยไหมครับที่รู้สึกว่าเราโดนกลั่นแกล้ง โดนเอาเปรียบ ได้รับความอยุติธรรม แล้วอยากเอาคืน

เรื่องแรก – ทิ้งเศษวัสดุก่อสร้างไว้ที่บ้านของเรา
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคนที่ผมรู้จักคนหนึ่ง หลังจากที่อยู่บ้านทาวน์เฮ้าท์สองชั้นอย่างสงบสุขมาเป็นเวลา 1 ปี ก็มีคนมาปลูกบ้านใหม่บริเวณที่ดินหลังบ้าน อาจจะเนื่องจากที่ดินมีราคาแพง เขาจึงพยายามสร้างบ้านให้เต็มพื้นที่ และสุดท้ายก็ต่อเติมกันสาดมาจนชนกำแพงหลังบ้านเพื่อนเรา หลังจากที่เขาสร้างบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ทิ้งเศษวัสดุมากมายไว้บนกำแพงบ้าน เวลาฝนตก น้ำฝนก็ชะล้างเอาเศษดินเศษวัสดุตกลงมาที่บ้านของเรา ไม่ไปตกลงบ้านเขาเพราะเขาปิดไว้เรียบร้อย ไปแจ้งให้เขาเรียกช่างมาเก็บเขาก็เฉย อย่างนี้จะทำอย่างไรดี

… ใจที่อยากเอาคืน อย่างน้อยก็เพื่อให้เขารู้ถึงความทุกข์ที่เราได้รับก็คิดว่า อย่างนี้ เราก็เอาเศษวัสดุทิ้งกลับไปที่บ้านของเขาดีไหม เขาจะได้รู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร

… แต่ถ้าเราคิดกลับกัน นี่มันก็เรื่องเล็กๆ แค่เราเก็บเศษวัสดุเสียเอง ก็เสียเวลาไม่มาก แค่นั้นก็หมดปัญหาแล้ว ถึงแม้จะเสียความรู้สึก (ซึ่งจริงๆแล้วเราไม่ได้เสียอะไร ความรู้สึกที่เราเสีย เราเสียเอง ไม่มีใครมารับไป)

เรื่องที่ 2 – โดนโกงค่าน้ำ
มีเพื่อนคนหนึ่งเช่าห้องที่หอพัก ก่อนเช่าก็ได้ถามว่าค่าเช่าเท่าไหร่ ค่าไฟค่าน้ำเท่าไหร่ ก็ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย สมมุติว่าค่าน้ำหน่วย 15 บาท สิ้นเดือนใช้น้ำไปเพียง 2 หน่วย ทางหอพักเขาเรียกเก็บเงินมา 100 บาท เพื่อนก็งง แต่พอถามก็ได้ความว่าต้องจ่ายค่าน้ำขั้นต่ำ 100 บาท อาว!! แล้วทำไมเขาไม่บอกแต่แรก

… เป็นท่านท่านจะทำอย่างไร อุตส่าห์ประหยัดน้ำเพราะคิดว่าจะได้ประหยัดค่าใช้จ่าย แต่กลับโดยเรียกเก็บในสิ่งที่ตนไม่ได้ใช้ เพื่อนผมก็ว่า “รู้อย่างนี้เปิดน้ำทิ้งเสียดีกว่า” นี่คือความรู้สึกที่อยากเอาคืน เอาคืนในความอยุติธรรมที่ได้รับ

…ใช่ครับ การเปิดน้ำทิ้งอาจจะได้ความรู้สึกสะใจ ได้ความรู้สึกว่าเราได้ทวงความยุติธรรมคืน เราได้จริงหรือ จริงๆเราได้อะไรเราเสียอะไร สิ่งที่เราได้นั้นไม่มี แต่ที่เราเสียคือ เราเสียความเป็นคนดีในตัวเราไป เราเสียทรัพยากรของชาติ เรามีแต่เสียไม่มีได้

หลายๆครั้งในช่วงชีวิตของเรา ถ้าเราเจอคนไม่ดี ไม่ใช่ว่าเราต้องไปเอาคืนให้สาสมกับที่เขาทำกับเรา ถ้าทำอย่างนั้นคนไม่ดีก็อาจเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนคือตัวเราเอง ถ้าเราเจอคนบ้าหนึ่งคน เขามาด่าเราเสียๆหายๆ (โดยที่เราไม่รู้ว่าเขาบ้า) ถ้าเราไปว่าเขาตอบไปด่าเขาคืน วันนั้นก็อาจมีคนบ้าเพิ่มมาอีกหนึ่งคน

หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้เราเจ็บใจ เสียใจ แต่ลองถามตัวเอง “แล้วจริงๆเราเสียอะไร เสียจริงไหม” บางครั้งเรื่องเล็ก แต่จิตเราปรุงแต่งแล้วขยายความให้เป็นเรื่องใหญ่ แล้วคนที่เจ็บ คนที่ทุกข์ก็คือตัวเราเอง นี่ก็เพราะพลังจิตหรือพลังของใจเรามีไม่พอที่จะหยุดความคิดที่เป็นทุกข์ได้

การที่เราจะตัดสินใจทำอะไรลงไป ลองหยุดคิดดูสักนิดดีไหมครับ ไม่ใช่ว่าเราจะปล่อยวางไม่ทำอะไรไปเสียทุกอย่าง แต่ว่าเราควรแก้ปัญหาด้วยปัญญา ไม่ใช่แก้ปัญหาด้วยการสร้างปัญหาใหม่

อารมณ์เปลี่ยนง่าย

อารมณ์เปลี่ยนง่าย
อารมณ์ดีอยู่ดีๆเปลื่ยนเป็นอารมณ์ไม่ดีชั่วพริบตา
แต่อารมณ์ไม่ดีจะเปลี่ยนให้เป็นอารมณ์ดีกลับไม่ง่าย
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพลังของจิตของคนคนนั้น
การปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เดินจงกรม ช่วยให้ใจแข็งแรง จิตมีพลัง

ไม่อยากทำสมาธิ เพราะเสียเวลา

“การทำสมาธิเป็นการเสียเวลา นั่งเฉยๆ เดินไปเดินมา ไม่เห็นได้อะไร จึงไม่อยากทำสมาธิ” ผมคิดว่านี่คงเป็นความคิดในใจของหลายๆคน เพราะการทำสมาธิ การนั่งสมาธิ การเดินจงกรม เป็นการฝึกจิต สิ่งที่ได้ไม่มีอะไรให้เห็นเป็นตัวเป็นตน จึงดูเหมือนไม่ได้อะไร แต่จริงๆแล้วสิ่งที่ได้อยู่ในใจ คนที่ปฏิบัติจะรู้เอง คนอื่นจะมารู้ด้วยไม่ได้ เหมือนเรารับประทานอาหาร เวลาอร่อย เราอร่อยเอง เวลาอิ่ม เราอิ่มเอง ไม่มีใครมารู้สึกอิ่มหรืออร่อยกับเราได้

หลายคนก็รู้ว่าทำสมาธิดี แต่ยังคงไม่เห็นความสำคัญ คิดว่ายังไม่จำเป็นต้องทำ บางคนก็ลองทำครั้งสองครั้งแล้วคิดว่าไม่เห็นผลก็เลิกทำ จึงทำให้คนทำสมาธิไม่มากเท่าที่ควร คงเหมือนกับการออกกำลังกาย ถ้าเราหวังว่าจะออกกำลังกายสักครั้งหรือสองครั้งเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน เราก็คงทราบอยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ และต่างก็รู้กันว่า การออกกำลังกายนั้นดี หากไม่ออกกำลังกายเราอาจจะต้องป่วยด้วยโรคภัยหลายอย่างในอนาคต แต่เนื่องจากมันยังเป็นเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึง และก็คิดว่าตอนนี้เราเองยังแข็งแรงอยู่ เราจึงยังไม่ออกกำลังกาย

การทำสมาธินั้นทำให้เราได้พักใจ ให้ความสงบ ได้การพักผ่อน ให้สติ ให้ปัญญา ช่วยให้มีเมตตา มีความรับผิดชอบ สิ่งดีๆที่เกิดจากสมาธิมีมากมาย แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าจะได้จากการทำสมาธิเพียงครั้งเดียว ต้องค่อยๆทำ ค่อยๆได้ เหมือนการออกกำลังกาย หรือการรับประทานอาหาร จะให้กินข้าวครั้งหนึ่งหลายๆหม้อแล้วจะให้เด็กโตเร็วๆก็คงเป็นไปไม่ได้

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับคนตัดไม้ คนตัดไม้หากไปตัดวันแรกจะตัดได้ 100 ต้น พอไปตัดวันที่ 2 จะตัดได้เหลือ 90 ต้น พอไปตัดวันที่ 3 จะตัดได้เหลือ 80 ต้น จะลดลงไปเรื่อยๆ เพราะอะไร ก็เพราะว่าความคมของขวานลดลงเรื่อยๆ หากไม่รู้จักหยุดตัดไม้เพื่อลับขวาน เราก็จะต้องทำงานหนักขึ้นหนักขึ้นเพื่อให้ได้งานเท่าเดิม จิตใจของเราก็เป็นเช่นเดียวกัน หากไม่รู้จักพัก ความสามารถของใจเราก็จะลดลง ความสามารถของใจที่ลดลงก็หมายถึง เราอาจจะเครียดง่ายขึ้น เศร้าง่าย โกรธง่าย หายช้า นอนไม่หลับ อย่างนี้เป็นต้น การนั่งสมาธิ เดินจงกรม จริงๆแล้วมิได้ทำให้เสียเวลา แต่อาจจะทำให้เราใช้เวลาที่มีอยู่ทั้งหมดอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เปรียบเหมือนเราลับขวานของเรา

 

ทำบัญชี เรื่องเล็กๆที่ไม่เล็ก

คุณรู้ไหมว่าทำบัญชีแล้วดียังไง ?  .. หลายๆคนคงรู้ว่าดี ทำให้เรารู้สถานะ (ทางการเงิน) ของตัวเอง ทำให้เรามีระเบียยวินัยในการใช้จ่าย มีวินัยทางการเงิน วางแผนอนาคตได้ อื่นๆอีกมากมาย..

คุณเคยทำบัญชีไหม หรือ คุณทำบัญชีรายรับรายจ่ายประจำวันหรือไม่ ? .. ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ไม่ทำ (อ้นนี้จากความรู้สึกตัวเอง และการสอบถามคนรอบตัว) และหรือไม่ก็ทำๆหยุดๆอย่างผมเป็นต้น

ที่ยกประเด็นนี้ขึ้นมาเพราะผมได้ทดลองให้ลูกทำบัญชี และลูกได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเกินคาด ปัญหาส่วนหนึ่้งของคนไทยในปัจจุบันคือ เราใช้เงินไม่เป็น เราเรียน 10 กว่าปีในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย เพื่อให้รู้ว่าจะหาเงินอย่างไร แต่แทบไม่เคยได้เรียนว่าเมื่อได้เงินมาแล้วเราจะใช้เงินอย่างไร หรือจะบริหารเงินที่มีอยู่ในกระเป๋าอย่างไร และที่สำคัญ (ตามความคิดของผม) การบริหารเงินไม่ใช่แค่การเรียนรู้หรือวิชาการ แต่เป็นสิ่งที่ต้องฝึกให้เป็นนิสัยตั้งแต่เด็ก

พอลูกของผมอายุประมาณ 7 ขวบ เรียนชั้น ป.1 เริ่มบวกเลขได้ ผมก็ให้เขาเริ่มทำบัญชีรายรับรายจ่ายของตัวเอง บัญชีง่ายๆ เช่น ได้เงินค่าขนม 20 บาท ใช้ไป 10 บาท เหลือ 10 บาท เก็บไว้สะสม วันต่อไปก็ทำเหมือนเดิม และก็เหลือสรุปยอดสะสมเป็นเดือนๆเพื่อไม่ให้ตัวเลขมากเกินไป

ที่ให้ลูกทำคิดง่ายๆแค่เพียงว่า อย่างน้อย เขาก็ได้ทำโจทย์คณิตศาสตร์บริหารสมองเล่นๆวันละ 1 ข้อ และเพื่อฝึกนิสัยการสะสมเงิน หลังจากที่ลูกทำบัญชีไปประมาณ 4-5 เดือน สิ่งที่เราให้ลูกฝึกได้ผลเกินคาด ผมก็เริ่มเห็นพัฒนาการของเขา คือ เขาเริ่มมีการคาดการณ์แล้วว่า เดือนนี้จะเก็บได้เท่าไหร่ เยอะหรือน้อยกว่าเดือนที่แล้ว ไม่ใช่แค่นั้น เขายังรู้จักเปรียบเทียบสถานะการเงินของตัวเองในปัจจุบันกับในอดีต เช่น วันที่ 15 เดือนนี้ เก็บเงินได้ 225 บาท มากกว่าวันที่ 15 เดือนที่แล้ว เพราะฉะนั้นเดือนนี้เขามีโอกาสที่จะเก็บเงินได้มากขึ้น

ผมไม่รู้ว่าตัวเขาเองรู้หรือเปล่าว่าเขากำลังเริ่มวางแผนการใช้เงินของตัวเองเป็นแล้ว แต่ที่ผมรู้ก็คือ เขาใช้เงินอย่างระมัดระวังมากขึ้น ถ้าเราให้เงินลูกอย่างไม่มีขีดจำกัด ลูกก็จะใช้ตามความต้องการของตัวเอง ซึ่งความเป็นจริงไม่ใช่ ทุกคนมีขึดจำกัด หากเพียงแต่ว่าขีดจำกัดของแต่ละคนไม่เท่ากัน เราต้องให้เขารู้ถึงขีดจำกัดของเขาเอง

อย่าว่าแต่เด็กเลยครับ ถ้าเราทุกคนสามารถทำประมาณการทางการเงินของตัวเองออกมา เราก็จะวางแผนชีวิตของเราได้ดีขึ้น ชีวิตเราก็จะดีขึ้น จริงไหมครับ

ไปพร้อมกัน ชนะด้วยกัน

ธรรมชาติของการเคลื่อนที่ของฝูงสัตว์ รู้ไหมครับว่าสัตว์แต่ละฝูงจะเคลื่อนที่ได้เร็วแค่ไหน สัตว์ฝูงหนึ่งจะเคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด ก็เท่ากับความเร็วของสัตว์ตัวที่เคลื่อนที่ช้าที่สุด เช่น ฝูงควายป่าฝูงหนึ่ง จะเคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด ก็เท่ากับความเร็วที่ควายตัวที่เดินช้าที่สุดจะเดินได้ทัน เพราะมันต้องรอตัวท้ายสุดด้วย

แล้วคนล่ะ เป็นสัตว์เหมือนกัน อยู่ในกฏเดียวกันหรือเปล่า ผมคิดว่าไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ตั้งแต่เราตอนเด็กๆเรียนหนังสือ เด็กในห้องแต่ละห้องก็มักจะมีความรู้เฉลี่ยใกล้เคียงกัน ขึ้นอยู่กับความเร็วของการเรียนรู้ของเด็กกลุ่มที่เรียนรู้ได้ช้าในห้อง เพราะฉะนั้น เด็กเก่งๆที่ถูกคัดรวมกันอยู่ในห้องเก่ง ก็เรียนไปได้ไกลกว่าเด็กที่อยู่ในห้องไม่เก่ง

ที่ผมพยายามอธิบาย ไม่ใช่เพราะเพื่อให้พยายามเอาลูกของตัวเองไปไว้ในห้องเก่งๆ แต่อยากจะให้ลองคิดดู นี่คือการทำงานเป็นทีม ถ้าเด็กเก่งในห้องช่วยติวเด็กคนที่ไม่เก่ง ก็จะทำให้ความเร็วในการเรียนรู้ของเด็กกลุ่มที่ช้าเรียนรู้ได้เร็วขึ้น จะช่วยให้เด็กทั้งห้องเรียนรู้ได้เร็วขึ้น เพราะฉะนั้น บางครั้งเด็กกลุ่มที่เห็นแก่ตัว อยากเก่งคนเดียว ก็เป็นปัจจัยหนี่งที่ทำให้ตัวเองเก่งน้อยลง เพราะความเร็วของห้องทั้งห้องยังช้าอยู่ดี อย่าลืมนะครับ ความเร็วของฝูงทั้งฝูงย่อมมีนัยสำคัญมากกว่าความเร็วของสัตว์เพียวตัวเดียว

ถ้าเปิดภาพให้ใหญ่ขึ้น ทำไมโรงเรียนที่มีชื่อเสียงบางโรงเรียน เด็กจึงเก่งกว่าค่าเฉลี่ยของเด็กโดยทั่วไป ก็เพราะเป็นที่รวมของสัตว์ที่วิ่งเร็วกว่า เพราะฉะนั้น ถ้าเรามองในภาพใหญ่ หากเราจะเก่งด้วยการดึงฝูงของเราทั้งฝูงให้เดินได้เร็วไปด้วยกัน จะทำให้ทุกคนชนะไปด้วยกัน

การทำงานก็เช่นเดียวกัน บางครั้งเราชิงดีชิงเด่นกันเองในองค์กร เห็นแก่ตัวและแข่งกันเองแต่ในสนามเล็กๆจนทำให้เราแพ้สนามใหญ่ก็มี มองให้กว้างกว่า เพื่อชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่า สิ่งดีๆที่เราทำหลายอย่าง อาจไม่ส่งผลให้เห็นในวันสองวัน เพราะความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยเวลา แต่คนจะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้ ต้องมี Vision คือ ต้องมองเห็นความยิ่งใหญ่ในสิ่งที่ทำซึ่งบางครั้งสิ่งที่ทำก็เป็นเพียงแค่สิ่งธรรมดา

ล่องเรือ รับประทานอาหารเย็น ชมแม่น้ำเจ้าพระยา

นานแล้วครับที่ไม่ได้นั่งเรือล่องแม่น้ำชมความงามของกรุงเทพมหานครยามราตรี ครั้งนี้ได้มีโอกาสล่องเรือดินเนอร์ชมความงามของสถานที่ต่างๆริมแม่น้ำเจ้าพระยา อันนี้ไม่ต้องบรรยายมาก ชมบรรยากาศและความสวยงามจากภาพเลยแล้วกันนะครับ

เยี่ยมชมโรงงานโตโยต้า บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา

เป็นโอกาสดีจริงๆครับที่ผมและคณะจากจังหวัดภูเก็ตได้รับเชิญจากโตโยต้าไปเยี่ยมชมโรงงานโตโยต้าบ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา พวกเราได้ชมความทันสมัยของกระบวนการประกอบรถยนต์ ซี่งที่โรงงานโตโยต้าบ้านโพธิ์นี้ ผลิตรถกระบะ Toyota Hilux Vigo และ Toyota Fortuner ได้ปีละหลายแสนคัน (ในปัจจับัน โรงงานทั้ง 3 แห่งของโตโยต้าในประเทศไทย ผลิตรถยนต์รวมกันประมาณ 800,000 คัน)

ไม่น่าเชื่อครับว่า ทุกๆนาที จะมีรถผลิตเสร็จออกจากโรงงาน 1 คัน โดยรถยนต์แต่ละคันใช้เวลาตั้งแต่การประกอบชิ้นส่วนแรกจนถึงชิ้นส่วนสุดท้าย และรวมถึงการตรวจสอบคุณภาพ ใช้เวลาเพียง 20 ชั่วโมงเท่านั้น ผมแอบคิดในใจ เวลารถเช่าของเราถูกชน เสียหายแค่ชิ้น 2 ชิ้น บางทีต้องซ่อมเป็นอาทิตย์ แต่ที่โรงงานเขาประกอบชิ้นส่วนทุกชิ้นเพียงแค่ 20 ชั่วโมง

นอกจากการชมโรงงานแล้ว ยังได้ทดลองขับรถโตโยต้าในสนามทดสอบรถ ทำให้เรามั่นใจในคุณภาพของรถโตโยต้ามากขึ้นมากจริงๆครับ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปภายในโรงงาน จึงไม่มีรูปมาฝากนะครับ

WordPress Themes